วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

เปลี่ยนความกลัวเป็นความท้าทาย




ถ้าพูดถึงความกลัวว่าหน้าตาเป็นแบบไหน แล้วทำไมเราต้องกลัวมันด้วย ถ้าจะให้นิยามความกลัวว่าเป็นอย่างไร เราไม่ต้องมองอื่นไกล เดินไปดูที่หน้ากระจกก็จะรู้ว่าความกลัวหน้าตาเหมือนคนที่อยู่ในกระจกนั่นแหละ เพราะความกลัวก็คือความคิดของเราเอง โดยที่ความคิดของคนอื่นไม่อาจทำให้เรากลัวได้ถ้าเราไม่ตอบรับให้เข้ามาในพื้นที่ความคิดของเรา

ถ้าใช้ความกลัวให้เป็นประโยชน์เราก็จะไม่ประมาทในการใช้ชีวิต
     ==> โดยจะระมัดระวังทุกครั้งที่ขับขี่รถ เพราะกลัวจะเกิดอุบัติเหตุ
     ==> หมั่นเติมอาหารสมองโดยเสริมความรู้และอ่านหนังสือพัฒนาความคิด เพราะกลัวล้าหลัง
     ==> คิดถี่ถ้วนทุกครั้งที่จะใช้จ่ายเงิน เพราะกลัวไม่มีเงินไว้ใช้ในขณะที่ทำงานไม่ไหว
     ==> ศึกษาข้อมูลการลงทุนก่อนการลงทุนทุกครั้ง เพราะกลัวขาดทุน

แต่ถ้าความคิดที่อุดมด้วยความกลัวมากเกินไป เราก็ไม่กล้าที่จะสร้างหรือคิดสิ่งใหม่ๆได้ สุดท้ายเราก็จะติดกับดักของความกลัวที่ไม่กล้าทำอะไรเลย
     ==>ไม่กล้าทำตามความฝันให้เป็นจริง เพราะคิดไปเองว่าตนเองเก่งสู้คนอื่นไม่ได้(ยังไม่ลองจะรู้ได้อย่าไรหละจ๊ะ)
     ==> อกหักกับความฝันเดิม ผิดหวังซ้ำซากก่อให้เกิดความท้อแท้ เพราะคิดไปเองว่าโชคชะตาไม่เข้าข้าง (ทั้งที่ความจริงเราอาจจะอดทนไม่พอก็ได้)
     ==> ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง เพราะคิดไปเองว่าสิ่งเดิมที่เป็นอยู่นั้นดีอยู่แล้ว(ถ้าสิ่งเดิมนั้นเปลี่ยนไปจะทำอย่างไร เช่น บริษัทที่เราฝากชีวิตไว้เพราะคิดว่ามั่นคงนั้นเกิดวิกฤตที่นอกเหนือความคาดหมาย เราอาจจะกลายเป็นหน่วยงานแรกๆที่ถูกยุบเพราะต้องการประหยัดต้นทุนก็ได้)
     ==> ไม่กล้าออกไปทำสิ่งแปลกใหม่เพราะคนอื่นบอกว่าเราทำไม่ได้ (คนอื่นจะรู้จักตัวเรามากกว่าตัวเราได้อย่างไร)

วิธีกำจัดความกลัวนั้นไม่ยาก หลายคนที่ทำได้จะรู้สึกถึงความมีอิสระเพราะถูกปลดปล่อยจากคุกทางความคิด การอ่านหนังสือหรือหาข้อมูลทางเน็ตนั้นทำให้เรารู้วิธีกำัจัดความกลัวได้ก็จริง แต่มันจะไม่ประสบความสำเร็จถ้าเราไม่เริ่มลงมือทำ เพราะความกลัวกำจัดได้ด้วยการลงมือทำ(สักที)

เราขอยกตัวอย่างวิธีการเปลี่ยนแปลงความกลัวจากประสบการณ์ส่วนตัวมาเล่าให้ฟัง วิธีทางการตลาดที่มักใช้กันเพื่อให้สินค้าดูแปลกใหม่อยู่เสมอคือ การเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใหม่ เช่น ชมพูสระผมอาจจะมีการปรัีบปรุงสูตรเล็กน้อยและเปลี่ยนลักษณะขวดใหม่ ซึ่งทำให้แบรนด์มีความแปลกใหม่และผู้ใช้จะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง ความตื่นเต้น ไม่ซ้ำซากจำเจ


เมื่อเราเห็นภาพแล้วว่าการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์นั้นสร้างความแตกต่างทางความรู้สึกได้ แ้ล้วทำไมเราถึงไม่ลองเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้กับความคิดของเราบ้างหละ 

==> เปลี่ยนความคิด(แชมพู)ที่ถูกห่อหุ้มด้วยความกลัว(บรรจุภัณฑ์ขวดเดิม) 
==> มาเป็นความคิดที่หุ่อหุ้มด้วยความท้าทาย(บรรจุภัณฑ์ขวดใหม่)  

เราใช้วิธีเปลี่ยนชื่อความกลัวเป็นความท้าทาย คนเราไม่ได้เก่งหรือทำอะไรเป็นมาตั้งแต่เกิด ทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้นที่การฝึกฝนและลงมือทำ เส้นทางนักเขียนไม่ได้มาจากการนั่งหน้าคอมฯแล้วพิมพ์ได้เลย แต่มันต้องมาจากการรักการอ่าน การได้ออกไปเจอโลกกว้างพบสิ่งแปลกใหม่ เพราะเนื้อหาที่อ่านและประสบการณ์จากการเดินทางเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่เป็นตัวกำหนดความคิดของเรา

เริ่มอ่านจากสิ่งที่ตนเองอยากรู้ ค้นคว้าเพิ่มเติมให้ความรู้นั้นสมบูรณ์ขึ้น แล้วลงมือเขียนอะไรก็ได้ออกมาเพื่อเป็นการฝึกฝน แม้ช่วงแรกภาษาอาจจะยังไม่เหมาะสม ยังจับทางแนวการเขียนของตนเองไม่ได้ แต่เราก็ต้องพยายามฝึกเขียนให้บ่อยที่สุด การฝึกเขียนจะทำให้เราเก่งขึ้น เมื่อเขียนแล้วก็ต้องให้คนอื่นอ่านเพื่อคอมเม้นท์สิ่งที่เราเขียน เพราะผู้อ่านเป็นกระจกสะท้อนว่าข้อความที่เราต้องการจะบอกนั้นตรงกับที่ผู้อ่านตีความหรือไม่ แล้วการเขียนของเราก็จะพัฒนาขึ้นเอง

แต่อย่าฝึกเขียนโดยการไปอ่านของคนอื่นแล้วลอกเลียนแนวความคิดนั้นเป็นของตนเอง เพราะจะทำให้เราเป็นเงาของคนอื่น ไม่เป็นตัวเอง สุดท้ายคุณก็จะเป็นเพียงนักเขียนเงาที่จะมีตัวตนสีดำในขณะที่มีแสงอาทิตย์สาดส่องมาเท่านั้น

ก่อนจบบทความก็มีเพลงที่สร้างไฟฝันให้เราลุกขึ้นอีกครั้งและอยากจะให้ผู้อ่านที่รักกับการตามหาความฝันลุกขึ้นออกเดินทางตามเส้นทางที่มีความท้าทายเหล่านั้นไปด้วยกัน

เรามาจุดไฟของความฝันไปด้วยกัน.....



เนื้อเพลงที่ต้องการให้เราออกเดินทางตามความฝัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามก็ต้องก้าวผ่านมันไปให้ได้ อุปสรรคที่รอเราอยู่ข้างหน้าก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับหัวใจนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้ เพราะวิกฤตนั้นสร้างคนให้เต็มคน ซึ่งทั้งหมดนี้เริ่มต้นจาก "ความกล้า" ที่จะก้าวเท้าเล็กๆของเราไปข้างหน้า เนื้อเรื่องในมิวสิกวีดีโอทำให้เรารู้สึกถึงความอดทน ความกล้าชน ความเพียรพยายามของนักกีฬารุ่นจิ๋วที่ตั้งใจฝึกซ้อมด้วยความมุ่งมั่น ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ก็จะสู้ไม่ถอย สู้จนหมดแรง ร่องรอยจากบาดแผลจะทำให้รู้ว่าพลาดตรงไหน เพื่อจะได้กลับไปฝึกฝนให้แข็งแกร่งกว่าเดิม


"ฟังเพลงจบแล้วตอบคำถามตัวเองด้วยว่า
เราสู้เพื่อความฝันของเรามากแค่ไหน"


----------------------------------------------------------

หมายเหตุ เรามองในมุมของนักกีฬาที่ตั้งใจทุ่มเทฝึกซ้อมเพื่อจะไปที่จุดสูงสุดในอาชีพโดยมีความฝันเป็นเครื่องนำทางนั้นแตกต่างกับอีกโลกที่เรียกว่า "ผลประโยชน์" โดยมีเงินเป็นเครื่องนำทาง  ถ้าเราไม่สามารถรักษาสมดุลของความฝันและเงินตราให้อยู่ร่วมกันได้ ก็จะไม่มีความคิดแปลกใหม่เกิดขึ้นบนโลก ครั้งแรกที่เราดูมิวสิกวีดีโอแล้วนึกถึงข่าวการแข่งขันกีฬาที่ใช้ตัดสินด้วยสายตาแบบกีฬาชกมวย ที่สร้างความเจ็บปวดให้แก่กองเชียร์ด้วยคำว่า "ชนะแบบค้านสายตา" แต่ก็ยังเจ็บปวดและเจ็บใจไม่เท่ากับตัวนักมวยที่ทุ่มเทเวลาให้แก่การฝึกซ้อมทุกวันเพื่อให้การขึ้นชกของตนเองนั้นออกมาดีที่สุด ความรู้สึกหดหู่เกิดขึ้นระหว่างที่ดูมิวสิกวีดีโอเพลงนี้ คือ นักกีฬารุ่นจิ๋วเลือดใหม่ที่กำลังฝึกซ้อมในโลกความจริงในขณะนี้ น้องๆจะรู้สึกอย่างไรถ้าความตั้งใจฝึกซ้อมทั้งหมดนี้ถูกทำลายด้วยกติกาที่ไม่เป็นธรรม กติกาที่สร้างขึ้นมาเพื่ออวยให้แก่พวกพ้องตนเอง เราเป็นคนนอกก็ได้แต่ภาวนาให้ความละอายต่อบาปนั้นเกิดขึ้นในจิตใจของกรรมการผู้ตัดสินให้ควบคุมการแข่งขันให้ยุติธรรม









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น