วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วิธีเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร ตอนที่ 2/2


ทบทวนวิธีเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรตอนที่แล้วนะคะ
  1. จุดคัทลอสสำคัญที่สุด
  2. ดูวันหมดอายุของ Warrant
  3. ศึกษานิสัยของหุ้นเก็งกำไร
==> อ่านทบทวนได้ที่ วิธีเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร ตอนที่ 1/2

บทความนี้เป็นประสบการณ์เพียงส่วนหนึ่งของเราและคำแนะนำจากรุ่นพี่เพื่อใช้ในการเก็งกำไร ซึ่งเราอยากจะถ่ายทอดให้นักลงทุนที่เล่นแนวเก็งกำไรนั้นระมัดระวังในการเล่นมากขึ้นกว่านี้ เราควรศึกษาเพื่อจะได้รู้เท่าทันวิธีการเก็งกำไรจะได้ไม่เจ็บตัวฟรี เพราะตลาดหุ้นนั้นเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา วิธีการที่เคยแนะนำต่อไปนี้อาจจะใช้ไม่ได้ผลในอนาคต หรือวิธีการเก็งกำไรในอดีตอาจจะกลับมาอีกครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร มีแต่ตัวเราเท่านั้นที่ควรเตรียมตัวให้พร้อมที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อง่ายๆ

วิธีเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร ตอนที่ 2/2

==> Volume

การดูโวลุ่มซื้อขายนั้นแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ
  1. หุ้นที่มี Vol.สูงจนกระทั่งติดเกณฑ์ Cash Balance(การซื้อด้วยเงินสดเท่านั้น) ส่วนใหญ่แล้วเราจะเรียกว่า "หุ้นติดคุก" นั้นแหละ  ซึ่งการติดแคชแต่ละครั้งจะใช้เวลา 6 สัปดาห์ เป็นที่รู้กันว่าหุ้นตัวไหนที่จะติดแคชราคาจะปรับตัวลงแรง แล้วซึมๆอยู่สักพัก บางครั้งอาจจะมีการเล่นราคากันบ้างในขณะที่ติดแคช หุ้นที่ติดแคชนั้นจะดึงราคาขึ้นง่ายเพราะแต่ละช่อง Vol. Bid ค่อนข้างน้อย ทางโบรกจะมีการประกาศออกมาว่าแต่ละสัปดาห์จะมีหุ้นตัวไหนบ้างที่มีแนวโน้มที่จะติดแคช สำหรับท่านนักลงทุนที่มีเงินหมุนเวียนน้อยนั้นอาจจะไม่คุ้มที่จะติดหุ้นที่ติดแคช
    • ถ้าเราต้องการดูในระบบว่ามีหุ้นตัวไหนที่ติดแคชถึงวันที่เท่าไหร่ดูได้ที่ Streaming Pro ในช่องของ Settings ==> Turnover List 
  2. หุ้น Sideway ที่เคยจำศีลมานาน อยู่ดีๆก็วิ่งขึ้นมาซะงั้น ถ้าจะพูดง่ายๆคือ โวลุ่มเข้านั่นแหละ ถ้าเป็นแนวเก็งกำไรที่นั่งดูหน้าจอตลอดเวลานั้นก็สามารถกระโดดเข้าได้ แต่ต้องเป็นหุ้นที่พึ่งขึ้นวันแรกๆเท่านั้นเพราะถ้าขึ้นไปแล้ว 3-4 วันก็ไม่น่าสนใจแล้วหละ 
    • โปรแกรมหนึ่งที่เราชอบดูหุ้นเก็งกำไร คือ eFinanceThai โดยเข้าไปในช่องของ Template ==> [F6]-@CompareAvgVol5 ก็จะปรากฏภาพข้างล่างนี้
ตัวอย่างหุ้นเก็งกำไร JUTHA ณ วันที่ 25 ก.พ.57


ตารางข้างบนจะเป็นอันดับหุ้น 30 อันดับที่มีโวลุ่มเข้าในรอบ 5 วันที่ผ่านมา เทคนิคบางคนที่เล่นเร็วจะเข้าหุ้นที่มีการขึ้นรวดเร็วจากอันดับล่างๆขึ้นมาอันดับต้นๆอย่างรวดเร็ว อย่าลืมว่าเล่นไม่กี่ช่องควรขายออกเพราะเวลาทิ้งนั้นโหดมากมาย ส่วนตัวจะดูที่ช่องข้างล่างที่เป็น Spread Price Analysis โดยช่องแรกเราตั้งให้เป็น 4  Spread เพื่อดูว่าถ้าหุ้นตัวไหนที่กินรวบที 4 ช่องนั้นกำลังถูกเก็งกำไร ซึ่งเราจะเห็นหุ้น Asimar กับ Jutha อยู่ในช่องนี้เราก็ลองมาเปิดดูที่ช่อง Bid Offer ก็จะเป็นแบบนี้ซึ่งจะมีการไล่ราคากันอย่างเร็วมาภายในเวลาไม่กี่นาที



กราฟของ JUTHA ณ วันที่ 25 ก.พ. 57


==> กลุ่มเดียวกันจะมาพร้อมกัน

ถ้าเราตามหุ้นมาสักระยะก็จะรู้ว่าหุ้นแบบไหนจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ประมาณว่าพอตัวนี้ขึ้นไปแล้วก็จะมีอีกตัวหนึ่งตามมา ถ้าเราไม่อยากเหนื่อยวิ่งไล่ราคาหุ้นที่ขึ้นไปแล้ว ก็หันมามองหุ้นตัวที่ขึ้นช้ากว่าเพื่อนน่าจะเล่นได้หลายช่องมากกว่า ซึ่งเราควรจับกลุ่มหุ้นไว้เพื่อสังเกตราคาในแต่ละครั้งว่ามีลักษณะการเล่นอย่างไร ขึ้นวันเดียวจบเกมส์หรือราคาขึ้นมาสักพักก็พักเหนื่อยแล้วขึ้นต่อ เพื่อกำหนดกลยุทธ์การเล่นหุ้นเก็งกำไรว่าควรเข้าหรือออกช่วงไหน ไม่มีใครเทพมากที่เข้าออกได้ถูกจังหวะทุกครั้ง เพราะช่วงที่หุ้นขึ้นก็จะถูกความโลภเข้าบังตา 

จากตัวอย่างข้างบนที่เราเห็นราคา JUTHA ขึ้นไปเยอะมาก เราสังเกตหุ้นมาสักระยะก็จะรู้ว่าหุ้นที่ชอบขึ้นในเวลาที่ใกล้เคียงกันกับ JUTHA ก็จะมี RCL  ASIMAR จึงหันไปมอง 2 ตัวหลังน่าจะดีกว่า กราฟข้างล่างเป็นการเปรียบเทียบหุ้น 3 ตัวที่ชอบมาพร้อมๆกัน ซึ่งช่องแรกจะเป็นกราฟของ JUTHA ช่องที่สองจะเป็น RCL และช่องสุดท้ายขวาสุดจะเป็นหุ้น ASIMAR ซึ่งรูปแบบกราฟจะคล้ายๆกัน คือ ขึ้นด้วย Vol.ที่สูงมาก


จากที่เราเคยสังเกตก็จะจับได้นิดหน่อยว่าหุ้นอะไรบ้างที่ชอบมาพร้อมกัน คือ UMI มาพร้อมกับ RCI และ JUTHA มาพร้อมกับ RCL ,ASIMAR แต่อย่าลืมว่าทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ควรยึดติดว่าสิ่งที่เราเคยเชื่อว่าหุ้นกลุ่มนี้จะมาพร้อมกันตลอดไปหรือหุ้นแบบนี้จะมีลักษณะการขึ้นลงแบบนี้ตลอดไป ดังนั้นเราควรติดตามพฤติกรรมหุ้นเพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตลอดเวลา เพราะเราเคยยึดติดกับ DW บางตัวที่ซีรีย์เดิมเล่นดีมากเหวี่ยงขึ้นลงได้ใจสุดๆ แต่พอมาซีรีย์ใหม่ก็เล่นไม่เหมือนเดิมกว่าจะขึ้นได้แทบหลับคาจอเทรด

==> หุ้นที่จะเพิ่มทุน

ลักษณะนิสัยของหุ้นแบบนี้จะมีการปรับตัวขึ้นก่อนที่จะประกาศเพิ่มทุน พอถึงวันประกาศเพิ่มทุนเท่านั้นแหละปรับตัวลงทันตาเห็น (เลือดสาดกันเลย) ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยทราบข่าวเรื่องแบบนี้ทำให้ติดหุ้นในช่วงข่าวก่อนประกาศเพิ่มทุน เพราะเห็นว่าหุ้นขึ้นดีก็ขอซื้อติดพอร์ตไว้หน่อย สำหรับบางคนที่สามารถทนติดหุ้นระยะเวลา 6 เดือนได้ก็อาจจะใจเย็นรอหน่อย เพราะหุ้นที่เพิ่มทุนไปแล้วนั้นจะกลับมาเล่นราคากันอีกครั้งในช่วง 3-6 เดือนต่อมา

ถ้าเราไม่อยากต้องมานั่งเฝ้าระวังว่าหุ้นตัวไหนกำลังจะเพิ่มทุนบ้างก็มาดูตัวที่เพิ่มทุนไปแล้วว่ามีหุ้นอะไรบ้าง เพิ่มทุนไปแล้วกี่เดือน ราคาน่าจะทะยอยซื้อเก็บได้รึยัง หรือถ้าใครมีหุ้นเพิ่มทุนอยู่ในมืออยู่แล้วและกำลังหาจังหวะขายนั้น ช่วงเวลาขายที่ดีที่สุดควรเป็นวันที่หุ้นขึ้นแรง โวลุ่มเข้ามากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยทะยอยขายทำกำไรตามกลยุทธ์ที่วางไว้ เช่น ขึ้น 10%-20% ก็ขายหุ้นจำนวน 50% ขอพอร์ต ถ้าขึ้นมากกว่านั้นก็ขายทิ้งทำกำไรทั้งหมด อย่าคิดว่า "ขอกำไรอีกนิดนะ" เพราะสุดท้ายหุ้นก็จะตกแรงทุกที กล้าขายหมูดีกว่าไม่มีหมูให้ขาย    

==> หุ้นที่ขึ้น นสพ. หน้า 1**

เราจำหุ้นตัวนี้ได้ติดตา TSF ดูกราฟกันก่อนว่าเป็นยังไง


ช่วงที่เราเห็น Sideway ราคาประมาณ 0.30 นั้นเป็นช่วง Q3 ของปี 2012 แล้วราคาก็ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งถึงราคา 3.41 ณ วันที่ 15 ม.ค. 13 แล้วก็ปรับตัวลงเรื่อยๆ เราไม่รู้ว่าสาเหตุของการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้มันเป็นไปได้ยังไง แต่เราบอกทุกคนที่เข้าหุ้นแบบนี้ว่า ถ้ามีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์หุ้นหน้า 1 เมื่อไหร่ให้ขายทิ้งทันที เพราะข่าวส่วนใหญ่ที่ปล่อยออกมานั้นเพื่อปล่อยของ เรามองทางด้านจิตวิทยาว่าถ้าจะให้คนมาซื้อก็ต้องทำตัวให้เป็นข่าว ยิ่งข่าวดังเท่าไหร่คนยิ่งมั่นใจและซื้อตาม คนที่มีของอยากขายสามารถขายได้ทุกราคา แม้ว่าราคานั้นอาจจะไม่ใช่ราคาสูงสุดก็ตาม ประเด็นอยู่ที่ขายให้หมดก็พอ

จำได้ว่าเมื่อมีคนเคาะซื้อหุ้นตัวนี้เราก็โทรไปถามว่าซื้อหุ้นตัวนี้เพราะอะไร ซึ่งบังเอิญเพื่อนคนนี้ได้ข่าวมาว่าจะมีโน้นนี่นั้นเลยซื้อเก็บไว้ เราก็ตอบกลับไปว่า "สัญญานะว่าถ้ามีข่าวเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้เมื่อไหร่ให้ขายทิ้งเท่านั้น" แล้วอีกไม่นานก็มีข่าวดีของหุ้น TSF เกิดขึ้นหน้า 1  นสพ. เราก็รีบบอกว่าข่าวมาแล้วคงได้เวลาขายแล้วหละ โชคดีที่เพื่อนยังรับฟังเราบ้าง ไม่งั้นแล้วตอนนี้คงนอนหนาวบนดอยไปอีกนาน

**วิธีการนี้เราจะใช้ก็ต่อเมื่อหุ้นตัวนั้นไม่เคยเล่นราคามาก่อน ขึ้นอย่างเดียวโดยไม่รู้ว่าจะขึ้นเพราะอะไรและขึ้นไปถึงจุดไหน


"การมีความโลภนั้นไม่ผิด แต่จะผิดที่เราไม่สามารถควบคุมมันได้" 




วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วิธีเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร ตอนที่ 1/2


เราเชื่อว่านักลงทุนหลายท่านเข้ามาในตลาดหุ้นเพราะต้องการสร้างเงินให้งอกเงยโดยส่วนใหญ่จะมีวิธีลงทุนแบบ VI ซื้อเพราะพื้นฐานแล้วรอปันผล แต่พออยู่นานๆก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจเพราะหุ้นที่เราถืออยู่นั้นขึ้นไม่ทันใจเราสักเท่าไหร่หรืออาจจะตกลงมากในบางครั้ง พอเห็นคนอื่นได้กำไรจากหุ้นปั่นมาหลายสิบ % ภายในระยะเวลาไม่กี่นาทีก็ทำให้ต่อมความโลภเริ่มทำงาน จากที่เคยเป็นมนุษย์หลักการแบบ VI ก็ผันตนเองกลายเป็นนักเก็งกำไรไปโดยอัตโนมัติ จะให้ทำยังไงได้หละก็หุ้นมันขึ้นเย้ายวนชวนให้กดปุ่ม MP ซะขนาดนี้ (MP= Market Price เป็นการซื้อหุ้น ณ ราคาตลาด)

นักลงทุนที่คิดว่าตนเองเป็น VI บางท่านอาจจะยอมรับไม่ได้ว่าตนเองกลายเป็นนักเก็งกำไรไปแล้ว โดยหลอกตนเองว่าหุ้นปั่นที่ติดดอยอยู่เมื่อกี้นี้เดี๋ยวมันก็มารับเราอีกรอบเพราะคราวที่แล้วก็เล่นแบบนี้(เริ่มเข้าสู่โหมดปลอบใจตนเอง) แต่บังเอิญเป็นการเก็งกำไรรอบสุดท้ายพอดีเป๊ะ ก็เลยปล่อยให้เราหนาวตายอยู่ข้างบน หลังจากที่ติดหุ้นปั่นสักพักก็เริ่มมองหาพื้นฐานของหุ้นปั่นที่เราดอยอยู่ว่าทำธุรกิจอะไร จ่ายปันผลรึเปล่า(คิดว่าติดหุ้นแล้วมีปันผลก็ยังดีวะ) เริ่มอ่านงบการเงินของหุ้นตัวนั้นมากขึ้น เริ่มหาข่าวของหุ้นปั่นตัวนั้นมากขึ้น เมื่อมีข่าวดีขึ้นหน่อยก็ใจชื้นว่าอีกเดี๋ยวมันก็กลับมา แต่สุดท้ายราคาก็ไหลลงมาแบบกู่ไม่กลับ แล้วเราก็ทำใจคัทไม่ไ้ด้ก็ยอมทนติดหุ้นปั่นเหล่านั้นต่อไป

เราขอให้กลยุทธ์การลงทุนแบบนี้ว่า "ลงทุนแบบเก็งกำไรแล้วขายหุ้นแบบ VI"

ติดหุ้นปั่น ==> ไม่กล้าคัท ==> มองหาพื้นฐานหุ้นปั่น ==> มีหุ้นปั่นประดับพอร์ตไปอีกนาน

จากประสบการณ์ที่เคยผ่านสนามรบแบบนี้มาก่อนขอแนะนำอย่างเดียวว่า "คัทลอส" เท่านั้น ถ้าหุ้นตัวไหนที่เราต้องการเล่นเก็งกำไรอย่างแท้จริง ควรมีจุดตัดสินใจให้ชัดเจน ไม่โลเล อารมณ์ตอนคัทลอสหุ้นเหมือนการบีบสิวอักเสบ ทนเจ็บให้หัวสิวหลุดมากระแทกกระจกดังเป๊ะ เลือดไหลแป๊บเดียวสิวก็ยุบละ ในกรณีถ้าคัทแล้วเด้งก็ถือว่าทำใจซะเพราะเป็นเรื่องปกติที่คนอื่นก็เจอเหมือนกัน ไม่เฉพาะคุณคนเดียวที่เป็นแบบนี้ แต่ถ้าคัทแล้วลงต่อเราก็จะสบายใจว่า "ดีนะเนี้ยที่คัทไปไม่งั้นโดยเยอะกว่านี้แน่นอน" เราเชื่อว่ามีหลากหลายอารมณ์ก่อนที่จะคัทหุ้นเน่า แต่ขอให้คิดไว้อย่างนึงว่าเหลือเศษเงินไว้เพื่อรอโอกาสต่อไปก็ยังดีกว่าสูญเงินไปเกือบทั้งหมด

สรุปว่าถ้าคิดจะเล่นหุ้นเก็งกำไรก็ควรมีจุดคัทลอสไว้ล่วงหน้าว่าลงมากี่ %แล้วเลิกเล่น ส่วนตัวใช้ติดลบ 10-15% หรือถ้าบางตัวลงมาเป็นแนวโน้มก็จะตัดใจเมื่อหลุดเส้น 200 วันลงมา(เส้นแนวโน้มระยะยาวแบบรายวัน) ก็แล้วแต่นโยบายการเก็งกำไรของแต่ละคนที่อาจจะดู MACD RSI หรืออีกสารพัดเครื่องมือประกอบด้วยก็ได้ (แต่ถ้าใช้เครื่องมือมากเกินไปก็อาจจะส่งสัญญาณสวนทางกันก็ได้) ถ้าทำไม่ได้แบบนี้ขอให้เก็บเงินไว้รอให้เงินเฟ้อกัดกินเงินคุณน่าจะเสียหายน้อยกว่าเสียเงินจากหุ้นปั่นนะจ๊ะ

วิธีเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร

==> จุดคัทลอสสำคัญที่สุด

สมมติเราสร้างกลยุทธ์เล่นหุ้นเก็งกำไรที่วางไว้อย่างสวยงาม คือ
  • ถ้าหุ้นตกลงมาจากทุน 10% แล้วจะคัทลอส
  • หรือถ้าหุ้นขึ้น10% ก็จะขายทำกำไร 
  • หรือว่าขึ้นมา 10% กับ 15% ก็จะทะยอยขายทำกำไรเป็นค่าขนมบ้าง
หลังจากที่นั่งมองกราฟก็เห็นว่าหุ้นราคาขึ้นดีจัง กราฟสวยจนมองว่าราคาก็น่าจะไปได้อีก จึงตัดสินใจ Let Profit Run กลยุทธ์ทีีเคยวางไว้ก็ถูกอารมณ์ "ขอกำไรอีกนิดนะ" เข้ามาแทนที่ สรุปว่าไม่ขายแล้วก็นั่งมองหุ้นขึ้นอย่างมีความสุข แต่บังเอิญปวดฉี่ก็ลุกไปเข้าหุ้องน้ำ กลับมาที่โต๊ะเทรดถึงกับอ้าปากค้าง โอ้วววแม่เจ้า!!! ทำไมถึงรวดเร็วแบบนี้หละ หุ้นปั่นตัวนึงในพอร์ตที่เขียวกว่า 20% มันหายไปไหน รีบโทรหามาร์เก็ตติ้งประจำตัวด้วยอารมณ์หงุดหงิดว่า "COLOR-W1 เป็นอะไรทำไมถึงลงหนักแบบนี้หละ" มาร์ก็ตอบกลับมาด้วยความสัตย์จริงว่า "COLOR-W1 เป็นหุ้นเก็งกำไรไงคะ" มาร์คงงงแหละว่าตอนซื้อไม่ถามว่าทำไมหุ้นถึงขึ้นจัง แต่พอตอนลงกลับมาหาเหตุผล ซึ่งเหตุผลเดียวของการเก็งกำไร คือ ความโลภ ควรทำใจยอมรับและโลภแต่พองาม มิฉะนั้นอาจจะไม่มีเงินเหลือซื้อข้าวกิน

กราฟ COLOR-W1 
หมดอายุวันที่ 16/06/16


พอเราเห็นราคาตัวนี้แล้วสุดยอดมาก ขึ้นมายั่วอารมณ์ทุกวัน ราคาตัวนี้ขึ้นมาจาก 0.4-0.5 แล้วขึ้นสูงสุดที่ 1.13 อารมณ์ตอนเห็นหุ้นตกแบบนี้ก็คิดว่า "รู้งี้...ถ้าขึ้นไปได้สัก 10%-15% แล้วทะยอยเก็บกำไรไว้บ้างก็น่าจะดี" ไม่มีใครตอบได้ว่าการเก็งกำไรจะไปถึงจุดไหน มีแต่ว่าเราจะหยุดเองที่ราคาเท่าไหร่ คิดว่าน่าจะมีผู้กล้ามากมายนอนหนาวอยู่แถวนั้นถ้าไม่มีจุดคัทลอส สุดท้ายก็อาจจะด่าว่าหุ้นมันไม่ดี @&$%# ฮืมมมม แต่อย่าลืมซิจ๊ะว่าใครกันที่เป็นคนเลือกหุ้น

==> ดูวันหมดอายุของ Warrant 

การเก็งกำไร Warrant ควรดูวันหมดอายุของ Warrant นั้นว่าหมดอายุวันที่เท่าไหร่ ปกติแล้วจะหยุดเทรด 1 เดือนก่อนวันที่ประกาศหมดอายุ เช่น ประกาศว่าวันหมดอายุวันที่ 7 /03/14 ก็จะขึ้นเครื่องหมาย SP เพื่อหยุดเทรดวันที่ 7/02/14 ซึ่งช่วงนี้มีแต่ Warrant ขึ้นกันแบบยั่วน้ำลายสิงห์เดย์เทรด เมื่อ 2 สัปดากห์ก่อนก็มีขึ้นกันเป็น 1,400% ใครไม่กล้าก็ได้แต่นั่งมองตาปริบๆและอิจฉาคนที่ได้เงิน (แต่ก็อาจจะมีบางคนเสียเงินเพราะขายไม่ทัน) หุ้นที่ว่านี้คือ AMC-W1 ที่พึ่งหมดอายุไป

กราฟหุ้น AMC-W1 (ขึ้น 1,400%)
หมดอายุวันที่ 7/03/14


ถ้าตามหลักการเก็งกำไร Warrant คือ ห้ามเล่นตัวที่กำลังจะหมดอายุเพราะราคาก็จะลดลงเรื่อยๆ ซึ่งจะต่ำที่สุด คือ 0.01 ถ้าจะเก็งกำไร Warrant นั้นควรดูวันที่หมดอายุ 1-3 ปีข้างหน้าหรือวันหมดอายุที่ยิ่งไกลยิ่งดี แต่ก็มีหุ้นไม่กี่ตัวที่เล่นราคากันจนหยดสุดท้าย(ขอแนะนำไม่ให้เล่นหุ้นแบบนี้เพราะอาจจะเจ็บตัวได้)

น้องที่ทำงานเรียกให้ดูหุ้นตัวนี้ในวันที่ขึ้นเป็น 1,400% นั่นแหละ ราคาที่เห็นครั้งแรกที่ 0.08 บาทก็เลยเปิดกราฟดูว่าราคาเปิดที่ 0.03 เล่นราคากันจนถึง 0.46 บาท แล้วลงมาปิดที่ .028 เราเห็นแล้วหวาดเสียวแทนว่าถ้าขายไม่ทันก่อนขึ้นเครื่องหมาย SP แล้วจะเป็นอย่างไร เพราะถ้าหลังจากวันขึ้น SP ก็มีสองวิธีให้นักลงทุนเลือก คือ จะใช้สิทธิ์ก็เสียเงินเพื่อซื้อหุ้นแม่ คือ  AMC หรือไม่ใ้ช้สิทธิ์ Warrant ก็ปล่อยให้เงินตรงนั้นเป็นศูนย์

==> ศึกษานิสัยของหุ้นเก็งกำไร

หุ้นแต่ละตัวก็มีนิสัยเหมือนคนเรานั่นแหละ
  • บางตัวจำศีลนานมาก(sideway เป็นช่วงเวลาเก็บหุ้น) แต่บทจะมาก็ขึ้นไม่ต่ำกว่า 3 วันถึงจะเลิกเล่น 
  • บางตัวอาจจะมา 1-2 วันแล้วพักแป๊บนึงแล้วจะมาแรงๆอีกครั้ง 
  • บางตัวแนวโหดลากขึ้น ตบลง แล้วก็ลากขึ้น ตบลงอีกครั้ง 
ซึ่งนิสัยของหุ้นก็อยู่ในรูปแบบกราฟ การที่เราดูกราฟเพื่อศึกษาหุ้นเก็งกำไรควรรู้ไว้สักนิดว่า กราฟก็เหมือนภาพวาดจะออกมาเป็นรูปแบบใดก็ขึ้นอยู่กับคนวาดว่ามีลักษณะนิสัยอย่างไร

กราฟ NMG-W3 (ช่วงเก็บหุ้น)
หมดอายุวันที่ 19/06/18


ถ้าเราไม่อยากเหนื่อยจากการตามหุ้นที่วิ่งไปแล้วก็หันมามองตัวที่อยู่นิ่งๆแล้วรอมันวิ่งน่าจะอุ่นใจกว่า จากการที่ช่วงนี้เห็น Warrant วิ่งกันสนุกสนานก็ออกตามหาตัวที่ยังนิ่งๆอยู่ก็เจอตัวนี้ NMG-W3 ที่ sideway มานานละ MACD ก็เริ่มปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนWarrant หลายตัววิ่งไปไกลจนเราไม่กล้าวิ่งตามก็อาจจะดูหุ้นที่มีลักษณะ sideway แบบนี้ก็ได้ อาจจะคาดหวังแค่ 0.51 หรือ 0.63 ที่เป็นแนวต้านสีเขียว( เส้น 75 วัน)กับสีแดง(เส้น 200 วัน) แต่ก็แอบหวังไปที่แนวต้านเดิมที่ 0.80 ก็อิ่มกันหละทีนี้ ประเด็น คือ เราจะประมาทไม่ได้ถ้าหุ้น sideway หลุดลงมาก็ควรตั้งจุดคัทไว้ด้วยว่ากี่ % คัททิ้ง ส่วนตัวมองว่าถ้าต่ำกว่า 0.42 ก็คัทเพราะหลุดกรอบ BB กรอบบนแล้วไม่น่าจะสนุกแล้วหละ

กราฟหุ้น TASCO-W3 (ที่ไม่ควรนับ 3)
หมดอายุวันที่ 17/04/14


โปรดสังเกตว่าหุ้นที่เก็งกำไรจะมีการ sideway มานานมากกว่าที่จะเล่นแรงๆสักครั้ง ประเด็น คือ ตอนที่ sideway นานๆเราจะทนไหวรึเปล่า เราเห็นว่าราคาเคยไปถึง 20 บาท ยังคิดอยูว่าตอนนี้จะขายไปหมดรึยัง ถ้าไม่คัทไปก่อนหน้านี้ก็คงเสียหายมากมาย ช่วงที่ผ่านมามีการเก็งกำไรจากราคา 0.45 ถึง 7.95 บาทแหนะ ดังนั้นถ้าเราอยากตื่นเต้นก็เลือกตัวที่พึ่งขึ้นวันแรกแล้วซื้อตาม ได้กำไรไม่กี่ช่องก็ขายออก ไม่ควรถือไว้นาน แต่อาจจะมีอารมณ์ว่าไม่น่าขายหมูไปก่อนเลยถ้าถืออีกนิดก็จะได้เงินเยอะกว่านี้ แล้วก็จัดการซื้อแบบนี้อีก 1-2 รอบก็พออย่านับถึง 3 เพราะโอกาสติดหุ้นมีสูงมาก เช่น รอบแรกซื้อที่ 3 ขายที่ 3.5 ก็ติดใจก็เลยซื้อรอบที่สองที่ 4 ขาย 4.5 แล้วรอบสุดท้ายก็ซื้อที่ 7เพราะคิดว่าจะไปต่อเหวี่ยงลงแป๊บเดียวคงไม่เป็นไรหรอก สุดท้ายก็เข้าสู่วงจรติดหุ้นปั่นที่ใกล้หมดอายุ แล้วดูราคาช่วงนี้ซิอย่างเหนื่อยเลย 1.10 คนที่มี 7 บาทน่าจะอาเจียนเป็นเลือดไปแล้วหละ

กราฟ FOCUS-W1(หุ้นขาโหด)
หมดอายุวันที่ 15/06/14


เห็นกราฟน่ากลัวแบบนี้ การวิ่งขึ้นลงภายในวันมันน่ากลัวกว่านั้น ซึ่งมีทั้งเขียว เหลือง แดง ภายในวันเดียว จำได้ว่าตอนที่ถูกดึงราคาขึ้นไปสูงๆแล้วถูกทุบลงมา ช่อง Bid หายไปหลายช่องเหมือนว่าแย่งกันขายทุกราคาก็จะยิ่งทำให้ราคาลงเร็วกว่าเดิม อะนะ!! การลงทุนจริงหรือนี่ เฮ้อออออ

หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวที่เป็นบางส่วนของประสบการณ์ ซึ่งแต่ละคนก็จะได้รับในแบบที่แตกต่างกันไป เขียนขึ้นเพื่อเตือนผู้ลงทุนให้เก็งกำไรอย่างระมัดระวัง



บทความน่าสนใจ

วิธีเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร ตอนที่ 2 

วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

6 วิธีเก็บเงินแบบมีผลเห็นได้ชัด


เราเชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยเจอสถานการณ์เดียวกันที่ว่า.........
  • เงินเดือนพึ่งออกมาไม่กี่วัน ทำไมถึงหมดเร็วจัง
  • เราได้เลื่อนตำแหน่งรับเงินเดือนเพิ่มขึ้น แต่ทำไมยังไม่พอใช้จ่าย
  • เงินโบนัสก้อนโตที่พึ่งได้รับมาเมื่อปลายปีมันหายไปไหนหมด
ถ้าเงินที่หายไปนั้นสร้างคุณค่าเกิดประโยชน์แก่ชีวิตมากขึ้น เช่น นำไปลงทุนให้เงินงอกเงย นำไปเข้าคอร์สฝึกอบรมพัฒนาความรู้ นำไปบริจาคเพื่อการศึกษาเด็กด้อยโอกาส ฯลฯ ก็จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อความมั่งคั่งของเรา ได้พัฒนาตนเองจากการเข้าฝึกอบรมและสร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กที่ขาดโอกาสเพื่อแบ่งปันให้สังคมดีขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เงินของเราหายไปกับสิ่งเหล่านี้

ลองนึกภาพตัวอย่างนี้ดูนะคะ สมมติว่าพ่อซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวสูบบุหรี่จัดมาก ลูกและภรรยาที่ไม่สูบนั้นต้องทนกลิ่นบุหรี่ของพ่อทุกวี่ทุกวัน มีอยู่วันนึงหมอตรวจพบว่าลูกและภรรยาป่วยเป็นโรคมะเร็งจากการสูดควันบุหรี่มือสองของพ่อ จากเหตุการณ์นี้น่าจะออกมาเป็นแบบไหนบ้าง
  • เสาหลักที่หารายได้ของครอบครัวเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ปล่อยให้ลูกและภรรยาเผชิญชะตากรรมต่อไป
  • หรือ ลูกป่วยจากโรคมะเร็งมากขึ้นทำให้ต้องหยุดเรียนเพื่อออกมารักษาตัว ส่วนพ่อต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหาเงินรักษาลูก
  • หรือ ภรรยาป่วยจากโรคมะเร็งมากขึ้นทำให้ดูแลลูกและทำงานในบ้านไม่ได้ ส่วนพ่อต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหาเงินรักษาภรรยา ส่วนลูกก็ขาดความอบอุ่นเพราะไม่มีใครดูแล
"ตอนจบจะเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้เพราะเป็นเพียงเรื่องสมมติ 
แต่ถ้าเป็นชีวิตจริงคุณมีความเห็นอย่างไร"

วิธีการที่เงินจะสร้างคุณค่าให้ชีวิตของเราได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าจะมีวิจารณญาณในการใช้เงินอย่างไร บทความนี้ขออนุญาตแนะนำ "6 วิธีเก็บเงินแบบมีผลเห็นได้ชัด" เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยให้เงินสร้างคุณค่าให้แก่ชีวิตมากขึ้น โดยจะแบ่งเป็นสองส่วน คือ "การเพิ่ม" และ "การลด"

==> การเพิ่ม

วิธีที่ 1 เพิ่มวินัย
เมื่อเรามีความมุ่งมั่นที่จะออมเงินก็ควรแยกบัญชีเงินออมให้ชัดเจน หลายธนาคารมักจะมีผลิตภัณฑ์ออมทรัพย์หลายตัว ขออนุญาตอ้างอิงของธนาคาร Krungsri ตัวอย่างเช่น ออมทรัพย์จัดให้ ออมทรัพย์มีแต่ได้และบัญชีฝากออมทรัพย์พิเศษ เป็นต้น แยกบัญชีเพื่อจะได้ไม่ปะปนกับบัญชีที่ใช้จ่ายทั่วไปเพื่อกันความสับสน สมมติว่าเราใช้บัญชีเงินเดือนกับบัญชีเงินออมเป็นบัญชีเดียวกัน ถ้ามีเดือนไหนเราช๊อตก็อาจจะกดเงินในส่วนของการออมมาใช้ด้วย สุดท้ายแล้วเงินที่เราตั้งใจจะออมก็ไม่เหลือเพราะใช้หมด

วิธีที่ 2 เพิ่มความมั่งคั่ง
การนำเงินไปลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงยนั้นเป็นสิ่งที่ดีเพราะจะสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว ส่วนการเลือกว่าเรานั้นจะไปลงทุนอะไรต้องขึ้นอยู่กับการทนรับความเสี่ยงของแต่ละคนว่ายอมรับได้มากน้อยแค่ไหน เช่น ถ้าเราไม่มีเวลาติดตามข้อมูล ไม่มีความชำนาญในการลงทุน อยากให้มืออาชีพช่วยดูแลและยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำมาก ก็อาจจะนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ภาครัฐ ทั้งนี้ การลงทุนทุกรูปแบบควรศึกษาความเสี่ยงและเงื่อนไขการลงทุนให้เข้าใจก่อนการลงทุนทุกครั้ง

วิธีที่ 3 เพิ่มเงินออม
คนทำงานมีรายได้ทุกคนต้องเสียภาษีให้แก่ภาครัฐ แต่เพื่อไม่ให้การจ่ายภาษีเป็นภาระมากเกินไป จึงมีนโยบายลดหย่อนภาษีเกิดขึ้นเพื่อจูงใจให้เกิดการออมเงินมากขึ้น เช่น การซื้อกองทุนรวม LTF RMF การซื้อประกันชีวิตทั่วไปที่มีอายุ 10 ขึ้นไป การซื้อประกันชีวิตแบบบำนาญ เป็นต้น ซึ่งทุกปีเราควรตรวจดูภาษีของเราว่ามีแนวโน้มจะเสียภาษีเท่าไหร่แล้วมาตัดสินใจว่าจะใช้ลดหย่อนภาษีอะไรบ้าง เพื่อให้เรามีเงินออมเพิ่มขึ้นจากการประหยัดภาษี

วิธีที่ 4 เพิ่มรายได้
ในโลกที่แทบทุกอย่างจัดการได้บนสมาร์ทโฟนเพียงแค่ "คลิก ไลท์ แชร์" ก็ทำให้เกิดรายได้ ดังนั้นช่องทางการหารายได้เพิ่มก็ไม่เป็นอะไรที่ยากลำบากอีกต่อไป มนุษย์เงินเดือนสามารถมีอาชีพเสริมได้เพียงขายสินค้าบนอินเตอร์เน็ต เจ้าของกิจการหาช่องทางใหม่ๆที่จะโปรโมทร้านค้าเพื่อให้ลูกค้ารู้จักมากขึ้นผ่านการแชร์หน้า Facebook หรือ IG ซึ่งการสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตเหล่านี้จะประสบความสำเร็จและสร้างรายได้ให้แก่เราได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ของผู้ใช้สื่อว่าจะดึงดูดให้คนเข้ามาดูในเว็ปและซื้อของเราได้อย่างไร

วิธีที่ 5 เพิ่มความรู้
การเพิ่มพูนความรู้เพื่อพัฒนาตนเองนั้นจะทำให้เราก้าวทันโลกตลอดเวลา เมื่อมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเราก็จะสามารถหาวิธีรับมือหรือปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆได้ ถ้าเรามีเงินแต่ไม่มีความรู้ก็จะทำให้เงินของเราอาจจะหมดได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่ถ้าเรามีความรู้แม้ว่าไม่มีเงินก็สามารถใช้ความรู้นั้นหาเงินได้

==> การลด

วิธีที่ 6 การลดหนี้
การสร้างหนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเป็นการสร้างหนี้เืพื่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว เช่น การกู้เงินเรียน การกู้เงินซื้อบ้าน การกู้เงินลงทุนทำธุรกิจ เป็นต้น แต่ถ้าเป็นการสร้างหนี้จากการใช้จ่ายบริโภคฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยเกินตัวก็จะกลายเป็นหนี้ไม่ดี เพราะเป็นหนี้ที่ไม่สร้างประโยชน์ในระยะยาว ที่สำคัญเราควรพยายามที่จะชำระหนี้ให้ตรงเวลาจะได้ไม่ต้องจ่ายธรรมเนียมการชำระเงินล่าล้า


ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก http://krungsri.com



วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความฝันสร้างงานกับงานสร้างคน


อ่านกระทู้ใน Pantip เรื่องการทำงานเพื่อถามความเห็นว่าการเป็นผู้ประกอบการกับมนุษย์เงินเดือนอะไรดีกว่ากันแล้วน่าสนใจ เพราะความเห็นหลากหลายแง่มุมมากๆ ทำให้มองว่าเราทำงานไปเพื่ออะไรกันแน่ เงินทอง บ้านหลังโต รถคันใหญ่ ไปเที่ยวเมืองนอกหรือทำตามความฝัน สุดท้ายแล้วการเลือกทำงานก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายชีวิตว่าเราทำงานไปเพื่ออะไร


บทความนี้เขียนเพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนที่กำลังวิ่งตามความฝัน อาจจะเป็นระยะเริ่มต้นที่ต้องลงทุนลงแรงมากพอสมควร ใช้ความอึด ความอดทนที่จะทำทุกทางให้เป็นอย่างที่ฝันไว้ให้ได้ อาจจะต้องทำงานฟรีบ้างแต่ก็ขอให้มองว่าเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า อย่าพึ่งคิดถึงเรื่องความรวยเพราะอะไรที่รวยเร็วคนอื่นก็ทำไปหมดแล้วหละ ทำสิ่งที่ยากๆนั่นแหละดีเพราะคนอื่นเลียนแบบไม่ได้  สำหรับคนที่ความฝันกำลังเกิดปัญญหา เราอยากให้มองว่า "เมื่อมันผ่านมาแล้วก็จะผ่านไป" อุปสรรคเป็นหินลับสมองชั้นดีที่ทำให้เราแข็งแกร่งเหนือคนอื่น ยิ่งมากยิ่งดี

^_______________________^  ยิ้มกว้างๆให้ปัญหาแล้วมันจะกลัวจนกระทั่งวิ่งหนีเราไปเอง

.......แม้ว่าจะต้องยิ้มทั้งน้ำตาก็ตาม.....

สำหรับบางคนที่กำลังค้นหาตัวเองว่าแท้จริงแล้วเรามีความฝันหรือชอบทำงานอะไรกันแน่ สิ่งที่กำลังทำอยู่มันตรงกับตัวเองรึเปล่า เรามีความสุขกับงานที่ทำอยู่รึเปล่า เราขออนุญาตแนะนำแนวคิดจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เราเลือกงานให้ตัวเอง คือ "เลือกงานที่ทำให้ชีวิตเรามีความหมาย เป็นงานที่มีความฝันเป็นเครื่องนำทาง ถ้าเราทำได้ดีแล้วผลตอบแทนก็จะตามมาเอง" 

โดยที่เราจะ..... 
  • มีความสุขที่ได้ทำแม้ว่าไม่ได้รับค่าตอบแทน
  • ตื่นเต้น สนุกกับการคิด ชอบที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆโดยไม่รู้จักเบื่อและไม่คิดว่ามันเป็นงาน
  • มีความสุขที่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านใช้เงินอย่างรู้คุณค่า
.....ให้เวลาตัวเองอยู่กับความเงียบสักพัก เพื่อจะได้มีเวลาตัดสินใจ.....

เรารู้จักงานที่สร้างเงินมากันเยอะแล้ว เราลองมาดูตัวอย่างงานที่สร้างคนกันบ้างดีกว่า เืพื่อจะได้เปิดโลกอีกใบที่เป็นโลกของผู้ให้อย่างแท้จริง เราควรรับรู้ไว้เพื่อที่ว่าวันนึงเราอาจจะกลายเป็นผู้ให้โอกาสแก่เด็กกลุ่มนี้บ้างก็ได้ การทำงานของครูผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่คาดหวังให้ลูกศิษย์มีชีวิตที่ดีขึ้นและสามารถอยู่ในสังคมได้ดังเช่นกับคนปกติทั่วไป "ครูมาลินี ศรีพรมมา" เป็นครูผู้สอนเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่โรงเรียนลพบุรีปัญญานุกูล อ.เมือง จ.ลพบุรี (ภูมิใจในจังหวัดบ้านเกิดของตัวเองจริงๆ ^_^)

จากโครงการทดลองจ้างงานในปี 2551 ที่นำเด็กกลุ่มนี้ไปฝึกงานและทำงานในสถานประกอบการต่างๆ เช่น สำนักงานเทศบาลตำบล ร้านกาแฟ ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านซ่อมจักรยาน ร้านล้างรถ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น กลายมาเป็นความภาคภูมิใจที่สามารถสร้างเด็กกลุ่มนี้ให้มีชีวิตอยู่ร่วมในสังคมได้ มีงานทำและสามารถช่วยเหลือตนเองได้ถ้าผู้ปกครองไม่อยู่แล้ว ครูไม่อยากให้มองว่าเด็กกลุ่มนี้น่าสงสาร แต่อยากให้มีคนให้โอกาสทำงานแล้วจะได้รู้ว่าเด็กกลุ่มนี้ก็มีศักยภาพเหมือนกัน

เราชอบวิธีการสอนให้เด็กอยู่ร่วมในสังคมได้โดยให้ไปสัมผัสประสบการณ์จริงนอกห้องเรียน เรียนรู้โลกภายนอก สอนให้เด็กเพาะปลูกผัก เลี้ยงเป็ดเพื่อนำไปขายของในตลาด รู้จักใช้เงิน เก็บเงิน ขอบคุณคุณครูทุกท่านที่สร้างคนให้เต็มคน

==> แม้ว่าเด็กกลุ่มนี้จะมีความบกพร่องทางสติปัญญา แต่ก็มีความกล้าที่จะเผชิญกับโลกภายนอกมากกว่าใครบางคนเสียอีก