วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

รถคันแรกหรือหนี้ก้อนแรก

นโยบายของรัฐบาลหลายๆอย่างออกมาเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศให้มากขึ้น เพราะถ้าหวังพึ่งพิงการส่งออกอย่างเดียวเกรงว่าจะไม่รอด แม้ท่านจะบอกว่าเกิดวิกฤตในยุโรปเราก็จะส่งออกได้ 15% (White Lie ข้อมูลเพิ่มเติม ทำไมผู้นำถึงโกหกที่ http://bit.ly/Qlq4Tb)ก็ตาม เพราะผลกระทบมันไม่ได้เกิดโดยตรง สังเกตได้จากวิกฤตซับไพร์มก็ทำให้เรารู้ว่าระบบการเงินของโลกนั้นเชื่อมโยงถึงกันหมด เมื่อเกิดปัญหาขึ้นขยะที่ถูกซ่อนอยู่ใต้พรมก็จะโผล่ออกมาให้เห็นบางอย่างพอปัดกวาดทิ้งได้ แต่บางอย่างก็เก็บไว้จนเน่าเฟะ แก้ไขอะไรไม่ได้นอกจากต้องตัดทิ้ง นโยบายรถคันแรกก็เป็นหนึ่งในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากภาวะน้ำท่วมซึ่งได้รับการตอบรับอย่างมาก สังเกตได้จากประมาณการยอดขายรถยนต์ในประเทศเพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อนหน้า ทำให้โรงงานหลายแห่งที่เป็นแหล่งผลิตชิ้นส่วนของรถยนต์ที่ถูกผลกระทบจากน้ำท่วมผลิตชิ้นส่วนไม่ทัน ส่งผลให้การส่งมอบรถคันแรกไม่ทันภายในปี 2555 จึงได้ขยายเวลาออกไปโดยที่ต้องยื่นใช้สิทธิภายในปี 2555 ส่วนวันรับมอบรถคันแรกไม่มีกำหนด
(ที่มา : http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHdNVE14TURjMU5RPT0=&sectionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBeE1pMHdOeTB6TVE9PQ==)


จากยอดประมาณการขายรถยนต์ที่สูงขึ้นเป็นการมองภาพรวมได้ว่าความต้องการซื้อรถเพื่อจะได้รับสิทธิประโยชน์คืนภาษีนั้นมีมาก คล้ายๆกับของแพงที่นานทีปีหนจะมีการลดราคาสักครั้ง แบบนี้ก็ต้องจัดกันสักหน่อย แต่ก่อนจะซื้อก็ต้องคิดถึงความจำเป็นที่จะต้องก่อหนี้เพื่อจะรับสิทธิ์การคืนภาษีที่ไม่เกิน 100,000 บาทว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ บางคนมีหนี้มากมายอยู่แล้วก็อยากได้รถยนต์โปรโมชั่นลดภาษีแบบนี้บ้างก็ขอซื้อสักหน่อยไม่อยากให้เสียสิทธิ์ ก็ต้องมานั่งคิดดูว่าคุณเหมาะสมจะได้รับสิทธิ์การมีหนี้ที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้าคุณอยากรับสิทธิ์นั้นรบกวนตรวจยอดหนี้ที่คุณควรมีจากลิ้งค์นี้ก่อนนะค่ะ 
(ควรมีหนี้เท่าไหร่ http://pajareep.blogspot.com/2012/05/blog-post_21.html) เฉพาะตัวเลขอาจจะยังไม่เห็นภาพก็มีตัวอย่างจากบุคคลใกล้ตัวมาเล่าสู่กันฟัง 2 เรื่อง ว่ารถคันแรกทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

เรื่องแรกให้ชื่อว่า "หนี้ของคนจะเกษียณอายุ"
ในต่างจังหวัดธุรกิจรับจัดงานโต๊ะจีนนอกสถานที่จะแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ กิจการที่รับทำอาหารอย่างเดียว กิจการที่ให้เช่าอุปกรณ์โต๊ะจีนอย่างเดียว และกิจการที่ทำทั้งอาหารและให้เช่าอุปกรณ์โต๊ะจีน ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีงานเข้ามาตลอด ผลตอบแทนยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะได้กลับมาเป็นรูปแบบเงินสดรวดเร็วทันใจ จัดงานเสร็จปุ๊บรับเงินปั๊บ สภาพคล่องสูงปรี๊ด ส่วนที่บ้านของดิฉันให้เช่าอุปกรณ์โต๊ะจีนอย่างเดียว โต๊ะจีนที่บ้านก็ได้ถูกว่าจ้างจากคุณป้าแม่ครัวรายหนึ่งบ่อยครั้งจนค่อนข้างสนิทมากจึงรู้มาว่าตอนนี้สามีคุณป้าซึ่งเป็นทหารกำลังจะเกษียณอายุและก็มีเงินใช้สบายๆอยู่บ้านเพราะได้รับบำนาญ จะรับงานทำอาหารบ้างตามกำลังที่จะสามารถทำได้จะได้ไม่เหงา ดูแ้ล้วชีวิตคุณลุงคุณป้าในวัยเกษียณจะสดใส เพราะมีบ้าน มีรถยนต์แล้ว อีกทั้งลูกสาวก็เรียนจบทำงานแล้ว แต่อยู่ดีๆลูกบังเกิดเกล้าก็นำยอดหนี้ผ่อนรถยนต์มาให้คุณลุงกับคุณป้าช่วยผ่อนให้เพราะส่งต่อไม่ไหว ด้วยความรักก็ต้องดูแลลูกและช่วยเหลือให้มากที่สุดโดยไม่ห่วงตัวเอง ดังนั้นคุณป้าก็ต้องรับงานทำอาหารมากขึ้น เริ่มเสียเครดิตที่ว่าจบงานจ่ายเงินตรงเวลา กลายเป็นจบงานภพนี้รับเงินภพหน้า และก็ได้ยินข่าวติดเงินคนอื่นๆอีกหลายคน นี่แหละความรักของพ่อกับแ่ม่ อยากรู้เหมือนกันว่าลูกบังเกิดเกล้าจะรับทราบบ้างหรือไม่ แม้ว่าวางแผนเกษียณมาดียังไงแต่ถ้าไม่สอนให้ลูกหลานประมาณตน ก็จะทำให้ช่วงชีวิตหลังเกษียณลำบากเหมือนกัน ถ้าคิดจะสร้างหนี้ก็ต้องหาทางชำระเองไม่ควรไปเดือดร้อนบุพการี 

เรื่องที่สองให้ชื่อว่า "ภาพลักษณ์ดีแต่ไม่มีกิน"
เคยไหมที่เห็นเพื่อนร่วมงานดูดีจัง แต่งตัวมาทำงานรวมเครื่องประดับ เครื่องแต่งกายทั้งตัวไม่ต่ำกว่าหลักหมื่น อย่าถามว่ามือสองคืออะไรไม่รู้จัก รู้จักแต่ Limited Edition แต่จะมีสักกี่คนที่รู้เบื้องหลังความดูดีที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า ในละคนมีให้ดูเยอะแยะ คนรวยจริงๆก็ปล่อยเค้าไป แต่บางคนไม่มีจะกินแล้วยังห่วงภาพลักษณ์เนี้ยซิจะเหนื่อยกับการวิ่งตามคนอื่นเพื่อให้ตนเองดูดีในสายตาของทุกๆคน รถยนต์ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่แสดงถึงภาพลักษณ์ได้เหมือนกัน
เหตุผลในการเลือกที่จะมีหรือไม่มีรถยนต์แต่ละัึคนต่างกัน
     => บางคนคิดว่าแค่ขับไปทำงานได้ก็พอแล้วเป็นยี่ห้ออะไรก็ได้
     => บางคนคิดว่าไม่ต้องมีก็ได้มีรถไฟฟ้าถึงที่ทำงานเพราะไม่อยากขับรถไฟนั่งชมไฟแดงวันละหลายๆชั่วโมง
     => บางคนต้องมีรถยนต์รุ่นนี้เท่านั้น ไม่งั้นภาพลักษณ์การเป็นผู้บริหารจะเสียหมด(แบบนี้ก็ยึดติดกับเปลือกมากเกินไป)
     => บางคนเลือกที่ทำงานกับทีี่่อยู่อาศัยใกล้กันจะได้เดินทางไปกลับไม่สะดวก
ตอนเรียนจบใหม่ๆเืพื่อนของดิฉันเป็นเซลล์ขายบ้านและคอนโด โดยเลือกลงสาขาใกล้บ้านจึงไม่จำเป็นต้องมีรถยนต์ มีเงินใช้จ่ายโดยไม่ต้องพึ่งพาครอบครัว เก็บเงินได้มากมายจากค่าคอมมิชชั่น เมื่อย้ายงานก็มีหัวหน้าคนใหม่ซึ่งยังยึดติดอยู่กับค่านิยมว่าคนที่มีตำแหน่งที่สูงขึ้นก็ต้องมีรถยนต์หรือรุ่นรถยนต์ที่สร้างภาพลักษณ์ให้กับตนเอง ทำให้เพื่อนของดิฉันเริ่มคิดว่าต้องซื้อรถยนต์เพื่อจะได้เลื่อนตำแหน่งในหน้าที่การงานให้สูงขึ้น แน่หละถ้าซื้อเงินเก็บหมดแน่ๆ แล้วเพื่อแลกกับตำแหน่งที่สูงขึ้นมันคุ้มกันไหม ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิด แต่เราเลือกที่ความเหมาะสม เลือกว่าจะแสดงตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์ของตนเองออกมา หรือสร้างภาพลักษณ์ให้คนอื่นๆมองว่าเราดูดี


"หยุดคิดสักนิดก่อนที่จะรับสิทธิ์สร้างหนี้"



บทความน่าสนใจ


เงินฝากเขย่าโลก
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/04/blog-post_20.html


แบ่งเงินออมมาเก็บดอลล่าร์กันดีกว่า
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/03/blog-post_25.html

บทเรียนในความมืดกับการวางแผนการเงิน
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/02/blog-post_24.html

ร่ำรวยจากสิ่งที่มี

การเงินส่วนบุคคล ตอน การวิเคราะห์หนี้สิน

การเงินส่วนบุคคล ตอน การวิเคราะห์สภาพคล่องส่วนบุคคล
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/01/blog-post_11.html



===============================================================

"ไฟแนนซ์" เกาะติด "รถคันแรก" หวั่นลูกค้าทิ้งหลังได้คืนภาษี


updated: 13 ก.ย. 2555 เวลา 11:30:34 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
นายอิสระ วงศ์รุ่ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด ในฐานะประธานกรรมการสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย เปิดเผยว่า นโยบายรถคันแรกของรัฐบาลมีผลต่อการขยายตัวทางสินเชื่อเช่าซื้อในปีนี้ค่อนข้างมาก โดยคาดว่าจากนโยบายรถคันแรกที่ทำให้ยอดขายรถในประเทศอยู่ที่ 1.2-1.3 ล้านคัน สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์จะส่งผลให้สินเชื่อเช่าซื้อทั้งระบบอยู่ที่ 8 แสนล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 40-50% ซึ่งในโค้งสุดท้ายของปีนี้คาดว่าความต้องการซื้อรถของประชาชนจะมีเพิ่มขึ้นเพราะต้องเร่งตัดสินใจก่อนหมดเขตใช้สิทธิตามนโยบายรถคันแรก อย่างไรก็ตาม การจองรถในช่วงปลายปีอาจไม่มีผลต่อสินเชื่อเช่าซื้อมากนักเพราะค่ายรถยนต์ไม่สามารถส่งมอบได้ทัน ซึ่งจะมีผลทำให้สินเชื่อเช่าซื้อในปี 2556 มีแรงส่งต่อเนื่องไปอีก

"ส่วนคุณภาพสินเชื่อในขณะนี้กำลังติดตามอย่างใกล้ชิดเพราะเริ่มมีความเป็นห่วงว่าผู้ที่ซื้อรถคันแรกจะทิ้งรถเมื่อได้รับภาษีคืน และส่วนหนึ่งซื้อเพราะความอยากได้โดยที่ไม่ได้คำนวณค่าใช้จ่ายส่วนอื่น เช่น ค่าน้ำมัน หรืออื่นๆ ดีมากพอจะกระทบต่อภาระค่าใช้จ่ายจนกระทบความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคตได้ แม้ว่าผู้ซื้อรถในกลุ่มนี้จะยังไม่มีสัญญาณที่ไม่ดีแต่ก็ต้องจับตาดู เพราะหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นจะเริ่มเห็นเมื่อมีการผ่อนชำระไปแล้ว 6-12 เดือน ซึ่งอาจจะมีผลต่อหนี้เสียของกลุ่มเช่าซื้อในปี 2556 แต่ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ เพราะปัจจัยเรื่องรถคันแรกเป็นปัจจัยใหม่ที่ต้องศึกษา"

นายอิสระกล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้การคุมความเสี่ยงของผู้ให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ขึ้นอยู่กับการบริหารความเสี่ยงของแต่ละแห่งที่ต้องระมัดระวัง ซึ่งการพิจารณาอาจต้องมีการตรวจสอบที่เข้มงวดมากขึ้น โดยจะต้องมีการพิจารณาถึงความสามารถในการชำระและค่าใช้จ่ายของลูกค้าให้มากขึ้นเพื่อประเมินว่าจะสามารถผ่อนได้หรือไม่ รวมทั้งต้องมีการตรวจสอบว่าผู้ซื้อเป็นเจ้าของรถตัวจริงหรือไม่เพื่อป้องกันการสวมสิทธิด้วย

นายณรงค์ ศรีจักรินทร์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายธุรกิจสินเชื่อรถยนต์ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารมองว่าความเสี่ยงจากนโยบายรถคันแรกที่หลายคนมองอาจมีผลต่อหนี้เสียในอนาคตนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะแต่ละแห่งมีการบริหารความเสี่ยงที่ดีอยู่แล้ว ในส่วนของธนาคารเองคุณภาพลูกหนี้ที่อยู่ในกลุ่มรถคันแรกที่มีการเริ่มผ่อนชำระมาระยะหนึ่งก็นับว่าอยู่ในเกณฑ์ดี และเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาในอนาคต โดยการคุมความเสี่ยงของธนาคารจะมีการตรวจสอบลูกค้าที่เข้มงวด และลูกค้าส่วนใหญ่จะดาวน์ 20% ของราคารถ

รายงานข่าวจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ผลจากนโยบายรถคันแรกเร่งทำให้สัดส่วนรถยนต์อีโคคาร์เติบโตขึ้นมาแทนรถยนต์นั่งขนาด 1.5-1.8 พันซีซี ซึ่งมีแง่บวกในการเปิดโอกาสให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยพัฒนาความสามารถให้เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์อีโคคาร์ในอาเซียน ขณะเดียวกันก็ทำให้โอกาสของไทยในการส่งออกรถยนต์นั่งขนาด 1.5-1.8 พันซีซีลดลงไป โดยการส่งออกรถยนต์ของไทยมีสัดส่วน 9% ของการส่งออกรวม ซึ่งปีนี้การส่งออกรถยนต์ลดลงจาก 50% เหลือ 43% เพราะความต้องการในประเทศมีมากทำให้ค่ายรถยนต์หันไปผลิตเพื่อขายในประเทศเป็นหลัก

"ทั้งนี้นโยบายรถคันแรกมีผลทำให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในระบบสถาบันการเงินมีการเติบโตเพิ่มขึ้นด้วย แต่มีประเด็นที่ต้องจับตาดูคุณภาพสินเชื่อในปีหน้า เพราะผู้ที่ซื้อรถยนต์คันแรกส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ต้องการซื้อรถมอเตอร์ไซค์แต่เห็นผลประโยชน์ด้านภาษีที่ได้คืนทำให้ขยับขึ้นมาซื้อรถยนต์อีโคคาร์แทน ซึ่งภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง"

===============================================================

อย่าคิดว่าไม่มีรถยนต์แล้วเราจะเดินทางไม่ได้นะค่ะ ลองมาดูเมืองอื่นๆที่เค้าใช้จักรยานดูว่ามันน่ารักมากแค่ไหน ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

Life Style : ท่องเที่ยว

วันที่ 2 สิงหาคม 2553 13:41

10 เมืองที่เป็นมิตรกับจักรยาน


ในภาวะปัจจุบันที่ราคาน้ำมันแพงหูฉี่และกระแสรักษ์สิ่งแวดล้อมยังมาแรง ผู้คนจึงหันกลับไปใช้บริการยานพาหนะเก่าแก่ที่มีการประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ 120 ปีก่อนอย่าง "จักรยาน"ทุกวันนี้ในเมืองใหญ่หลายๆ เมือง จักรยานไม่เพียงเป็นทางเลือกในการเดินทาง มันยังมีประโยชน์หลายอย่าง เมื่อเร็วๆ นี้ ทางเว็บไซต์ askmen.com ได้จัดอันดับ 10 เมืองที่เป็นมิตรกับการขี่จักรยานมากที่สุดในโลก ดังนี้

ที่มา : http://bit.ly/a6QmDT


อันดับที่ 10 เมืองทรอนด์ไฮม์ ประเทศนอร์เวย์ 
ด้วยความที่มีสภาพภูมิประเทศเป็นเนินเขา มันจึงกลายเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งของการขี่จักรยานที่นี่ รัฐบาลจึงมีการประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่า “ลิฟต์จักรยาน” ให้ประชาชนเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการสัญจร เจ้าลิฟต์ที่ว่านี้มีชื่อว่า “แทรมป์” ถือเป็นลิฟต์จักรยานตัวแรกของโลก มันทำงานเหมือนกับการลากสกี โดยจะติดตั้งไว้ในจุดที่เป็นเนินเขาเมื่อขี่จักรยานมาถึงตรงนั้นมันก็จะช่วยยกจักรยานเราขึ้นโดยที่ไม่ต้องออกแรงปั่น

อันดับที่ 9 กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
แม้ว่าอัตราการใช้รถยนต์จะเพิ่มขึ้นมากในประเทศจีน แต่การใช้จักรยานยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเดินทางในปักกิ่ง คุณจะรู้สึกเป็นอิสระเหมือนนกเลยทีเดียวเมื่อมองดูสภาพจราจรที่ติดขัด ส่วนเรื่องมลภาวะก็ไม่น่าห่วงมากนัก เพราะตอนที่จีนเป็นเจ้าภาพจัดแข่งกีฬาโอลิมปิก ทางการก็ส่งเสริมให้คนขี่จักรยานโดยที่รัฐต้องควบคุมปัญหาคุณภาพอากาศด้วย


อันดับที่ 8 เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน
ในบรรดาประเทศในยุโรปที่ส่งเสริมการใช้จักรยาน บาร์เซโลนาเป็นเมืองหนึ่งที่สร้างทางรถจักรยานที่เรียกว่า “อะ กรีน ริง” หรือวงแหวนเขียว อยู่รอบใจกลางเมือง โดยในวงแหวนนี้จะมีสถานีให้เช่ารถจักรยานกระจายอยู่ถึง 100 แห่ง โดยคนเช่าสามารถนำจักรยานไปคืนที่สถานีไหนก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องนำกลับไปคืนที่สถานีต้นทางที่ตัวเองเช่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการส่งเสริมใช้จักรยานของเมือง

อันดับที่ 7 เมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เมืองบาเซิลออกแบบถนนเป็นพิเศษเพื่อรองรับการใช้จักรยานรวมถึงทางสำหรับคนถนัดซ้ายด้วย ทางเมืองยังสนับสนุนเครือข่ายกิจการให้เช่าจักรยานที่สะดวกสบายเพื่อจูงใจนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปโดยไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องการหาที่จอดจักรยาน 

อันดับที่ 6 เมืองพอร์ทแลนด์ รัฐออริกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา
เมืองพอร์ทแลนด์ได้สร้างทางรถจักรยานโดยเฉพาะให้เชื่อมต่อกับชุมชนเพื่อนบ้าน และยังจำหน่ายรถจักรยานที่มีอุปกรณ์ครบในราคาถูกให้ประชาชนที่ฐานะไม่ดีอีกด้วย สำหรับทางรถจักรยานของพอร์ทแลนด์มีความยาวทั้งสิ้น 260 ไมล์ มีคนหันมาใช้รถจักรยานเกือบ 9 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จสำหรับรัฐที่คนใช้รถยนต์เป็นหลัก

อันดับที่ 5 เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา
เมื่อ 2 ปีก่อน มอนทรีออลใช้งบประมาณกว่า 4,500 ล้านบาท ดำเนินการปรับปรุงทางรถจักรยานและสร้างบรรยากาศให้คนรู้สึกอยากใช้จักรยานมากขึ้น รวมถึงการสร้างที่จอดรถจักรยานแบบใช้มิเตอร์เหมือนการจอดรถยนต์ ปัจจุบันมอนทรีออลมีทางรถจักรยานยาว 2,400 ไมล์ และมีแผนที่จะขยายเพิ่มอีก นครใหญ่อันดับ 2 ของแคนาดายังเป็นเมืองแรกของทวีปอเมริกาเหนือที่รวมเอาแผนงานเกี่ยวกับรถจักรยานเข้าไปในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานของเมืองอีกด้วย

อันดับที่ 4 เมืองคูริติบา ประเทศบราซิล
คูริติบาอาจจะเป็นเมืองที่มีการวางผังเมืองดีที่สุดในโลกและทางจักรยานก็เป็นหัวใจสำคัญของผังเมือง เมืองนี้มีความพยายามให้คนใช้จักรยานมาเป็นเวลามากกว่า 40 ปี และผลก็คือทางจักรยานมีให้เห็นทุกหนทุกแห่ง ชาวบราซิลให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้พลังงานทางเลือกและเดินทางด้วยพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังมีชุมชนที่ทำกิจกรรมรณรงค์การใช้จักรยานเพื่อเป็นทางเลือกแก้ปัญหารถติดอีกด้วย

อันดับที่ 3 เมืองโบโกตา ประเทศโคลัมเบีย
แม้ว่าการรณรงค์ของรัฐบาลโบโกตาให้คนใช้จักรยานจะสู้พวกประเทศในยุโรปและอเมริกาไม่ได้ แต่โบโกตามีความได้เปรียบด้านประชากร เพราะมีประชากรเพียง 13 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เป็นเจ้าของรถยนต์ซึ่งทำให้จักรยานเป็นสิ่งจำเป็น ในทุกๆ วันอาทิตย์ทางเมืองจะปิดถนนยาวประมาณ 70 ไมล์เพื่อให้คนขี่จักรยาน วิ่ง เล่นสเก็ตและทำกิจกรรมอื่นๆ บนถนนโดยไม่ต้องกลัวรถชน 

อันดับที่ 2 กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก
ปัจจุบันชาวโคนมจำนวน 32 เปอร์เซ็นต์ เดินทางไปทำงานโดยการขี่จักรยาน ที่นี่มีวัฒนธรรมการส่งเสริมการใช้จักรยานถึงขั้นที่ให้คนเช่าจักรยานฟรี โดยจะให้จ่ายมัดจำไว้ก่อนและเมื่อนำจักรยานมาคืนก็จะคืนเงินให้ โครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับทางจักรยานของประเทศก็เอื้ออำนวยให้การเดินทางโดยจักรยานมีความสะดวกและรวดเร็ว

อันดับที่ 1 กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
กรุงอัมสเตอร์ดัมเป็นเมืองที่มีความเป็นมิตรกับการขี่จักรยานมากที่สุด เพราะเกือบ 40 เปอร์เซ็นต์ของการเดินทางในเมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์เป็นการเดินทางโดยใช้จักรยาน และยังมีจักรยานสาธารณะให้เช่ากันอย่างแพร่หลาย แถมกำลังก่อสร้างที่จอดรถจักรยานขนาดใหญ่ที่สถานีรถไฟหลักของเมืองอีกด้วย ถ้าเสร็จเมื่อไหร่ความจำเป็นที่ต้องใช้รถยนต์ส่วนตัวก็คงจะหมดไป 





วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความรวยเพียงชั่วข้ามคืน....มันจะยั่งยืนหรือไม่




อาชีพบางอย่างสามารถทำิเงินได้อย่างรวดเร็ว เช่น ดารา นักร้อง นักกีฬา ซึ่งปัจจุบันนี้้ถ้าดาราหรือนักร้องคนไหนกำลังมีชื่อเสียงก็ดูง่ายๆได้จากเห็นผลงานโฆษณาในหลายผลิตภัณฑ์ แสดงละคนถี่มาก ออกสื่อบ่อยครั้ง บางครั้งแสดงละครในช่องเดิมไม่รุ่ง พอเปลี่ยนต้นสังกัดใหม่ได้รับบทเด่นก็มีชื่อเสียงขึ้นมาทันที ถ้าเป็นนักกีฬาที่แข่งชนะในรายการสำคัญๆก็จะได้รับผลตอบแทนจากผู้สนับสนุนมาก  แน่นอนหละว่างานมีเงินก็ตามมา ส่งเสริมให้ฐานะการเงินดีขึ้นเรื่อยๆ ความร่ำรวยในชั่วพริบตาแบบนี้มันจะยั่งยืนได้ถ้าคนๆนั้นรู้จักวางแผนทางการเงิน จำนวนเงินปริมาณมากๆที่ได้รับ ถ้าไม่สามารถจัดสรรให้เหมาะสมก็จะหมดลงอย่างรวดเร็ว ในที่นี้ขอยกตัวอย่างนักกีฬาอาชีพได้รับรางวัลใหญ่ๆจากการแข่งขัน นอกจากนำเงินรางวัลไปใช้จ่ายทางด้านต่างๆ แล้วก็ควรนำเงินมาลงทุนให้งอกเงย เพราะช่วงของการสร้างรายได้มาพร้อมกับความฟิตของร่างกายด้วย ทั้งนี้ต้องไม่ลืมเก็บเงินบางส่วนไว้เพื่อรักษาสุขภาพตนเองตอนชราด้วย เพราะนักกีฬาอาชีพนั้นมีความเสี่ยงสูงต่อการเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย เพื่ออธิบายให้เห็นภาพขอยกตัวอย่างนักมวยอาชีพ

ช่วงดึกของคืนวันศุกร์ที่ 17 ส.ค. เวลาประมาณห้าทุ่มมีการชกมวยไทยไฟต์ที่ประเทศอังกฤษ(ที่มา http://www2.mcot.net/fm99/inside.cfm?cat=News&id=401831) ด้วยความอยากรู้ว่าทำไมมีแต่คนพูดถึงความเก่งของบัวขาวก็เลยรอดู การชกไทยไฟต์จะชกกันยกละ 3 นาทีและมีเพียง 3 ยกเท่านั้น ดังนั้นมีอะไรก็ใส่กันให้เต็มที่ ก็ต้องมีการกล้าได้กล้าเสียเพื่อชัยชนะ เพียงเสี้ยววินาทีก็เปลี่ยนชีวิตนักมวยได้ว่าจะเป็นผู้ชูกำปั้นขึ้นฟ้าประกาศให้โลกรู้ว่าเป็นผู้ชนะหรือถูกหามลงจากเวทีเพราะถูกน๊อค คู่มวยที่จัดชกเป็นการชกระหว่างชาวไทยกับชาวต่างชาติ หรือระหว่างชาวต่างชาติด้วยกันเอง กว่าบัวขาวจะขึ้นชกก็ประมาณตี 1 สมกับที่รอคอยจริงๆ แค่ยกที่สองหน้าแข้งสีนิลก็ฟาดที่ซี่โครงซ้ายของคู่ต่อสู้อย่างจัง ทำให้อับดุล ตูเรย์คู่ชกหมอบคาระวะเวทีกันเลย ชนะน๊อคเป็นที่เรียบร้อย ต้องขอบคุณที่มีการรีเทปให้ดูอีกรอบไม่งั้นมองไม่ทันกันเลยทีเดียว มีเพื่อนแนะนำให้ดูบัวขาวชกกับนักชกเกาหลี อันนี้เด็ดกว่าเพราะชนะภายใน 15 วินาที หมัดเดียว...ร่วง!!

วิดีโอที่บัวขาวชกชนะนักชกเกาหลีภายใน 15 วินาที




คำชื่นชมยินดีที่ส่งเสียงดังกึกก้องหลังจากกรรมการชูแขนว่านักชกชาวไทยเป็นผู้ชนะ เงินรางวัลที่ได้จากสปอนเซอร์และการออกโชว์ในรายการต่างๆ ทำให้นักมวยผู้นั้นมีฐานะทางการเงินที่ดีมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ข้อมูลที่ออกสื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ นิตยสารก็จะมีการถ่ายรูปผู้ให้ของรางวัลเป็นกำลังใจให้นักกีฬา บทสัมภาษณ์ถึงวินาทีที่ประสบความสำเร็จ คำชื่นชมยินดีมีมากมาย แต่จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะเป็นภาพชีวิตหลังจากที่นักมวยแขวนนวมแล้ว ว่านักมวยคนนั้นใช้ชีวิตอย่างไร มีสุขภาพร่างกายและสุขภาพการเงินเป็นอย่างไร ถ้าจะให้ดีนอกจากมีโค้ชที่เก่งทางด้านฝึกมวยแล้วน่าจะมีโค้ชสอนวิธีใช้เงินด้วยน่าจะดี ลองตามผลงานนักชกอันรุ่งเรืองเหล่านี้ว่ามีบั้นปลายชีวิตหลังแขวนนวมเป็นอย่างไรบ้าง

แสนศักดิ์ เมืองสุรินท์

ประวัติ =>อดีตแชมป์โลกคนที่  5  ของเมืองไทย มีชื่อจริงว่านายบุญส่ง  มั่นศรี  มีถิ่นกำเนิดจากบ้านสะเดียง  จ.เพชรบูรณ์  หัดมวยครั้งแรกกับ  ครูสมคิด  คำมาตย์  หัวหน้าค่ายมวยเพชรเจริญแสนศักดิ์คว้าเข็มขัดของสภามวยโลก(WBC)  ในรุ่นซูเปอร์ไลท์เวท

หลังแขวนนวม =>สภาพร่างกายที่ไม่แข็งแกร่งเหมือนเดิมและมีปัญหาด้านสายตาอีก อันเนื่องจากบอบช้ำจากการชกมวย แสนศักดิ์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบาก เพราะนับจากเสียแชมป์โลกครั้งสุดท้ายไปแล้ว เงินทองที่เคยมีอยู่นับ 10 ล้านที่เคยเก็บหอมรอบริบจากการชกมวยก็ร่อยหรอ ผู้จัดการที่ปลุกปั้นมา คือ "สนอง รักวานิช" ก็เสียชีวิต กลุ่มผู้สนับสนุนก็ทะยอย ๆ จากไป หนำซ้ำยังโดนหลอกจากเพื่อนฝูงและคนรู้จัก รวมถึงคนในวงการมวยด้วย (เป็นข้อมูลที่แสนศักดิ์เป็นผู้บอกเอง) การชกครั้งท้าย ๆ ของแสนศักดิ์ เจ้าตัวถึงขนาดลงทุนเป็นโปรโมเตอร์เอง ซึ่งก็ขาดทุนอีก เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคชาติไทย ที่เพชรบูรณ์ บ้านเกิด ก็ไม่ได้รับเลือก จนในที่สุดสายตาข้างขวาที่มีปัญหาของแสนศักดิ์ก็บอดสนิท ส่วนตาข้างซ้ายได้รับการผ่าตัดจนมองเห็นได้ ต้องขอรับความช่วยเหลือจากการกีฬาแห่งประเทศไทยเดือนละ 7,500 บาท และจากสภามวยโลกอีกเดือนละ 9,000 บาท ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว

รัตนพล ส.วรพิณ

ประวัติ =>ครอบครัวของรัตนพลมีอาชีพทำนา ฐานะทางบ้านยากจนมากจึงต้องชกมวย โดยเริ่มจากมวยไทยใช้ชื่อที่เป็นการประชดชีวิตตนเองว่า "ทนเอาหน่อย ต่อยใช้หนี้" จากนั้นจึงได้เข้ามาอยู่ในสังกัดค่าย ส.วรพินจากชกมวยไทยในเวทีเมืองกรุง ก็หันมาชกมวยสากลจนได้เป็นแชมป์โลกคนที่ 17

หลังแขวนนวม => ฐานะของรัตนพลลำบากมาก ทรัพย์สินที่ได้จากการชกมวยมาทั้งหมด ก็มีไม่เหลือเท่าไหร่ ต้องไปขายบะหมี่เกี๊ยวรถเข็น โดยมีภรรยาเป็นผู้ช่วย ที่ย่านบางโพ และได้เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลเป็น "ปรีชา เจริญธาดา" ในปี พ.ค. 2549 รัตนพลก็กลับมาชกมวยอีกครั้ง ภายใต้การจัดของ นายก่อเกียรติ พณิชยารมย์แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จถึงได้แชมป์โลก ได้เป็นเพียงแค่แชมป์ PABA

ถ้าต้องการทราบข้อมูลเชิงลึกว่านักมวยแต่ละท่านมีอดีตเป็นอย่างไรและชีวิตหลังแขวนนวมเป็นอย่างไรสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่วิกิพีเดียนะคะ ซึ่งแต่ละคนก็ไม่ค่อยแตกต่างกันสักเท่าำไหร่ การที่คุณมีสามารถสร้างรายได้อย่างมากมาย หรือจะได้รับมรดกจากเจ้าคุณปู่ที่ใช้กี่ชาติก็ดูเหมือนจะไม่หมด มันจะไม่เหลืออะไรเลยถ้าคุณไม่มีวิธีบริหารเงินที่มีอยู่ให้เติบโต เพราะสักวันมันก็ต้องหมด เพียงแต่ว่าจะหมดช้าหรือหมดเร็วก็เท่านั้นเอง



===============================================================



"แสน ส.เพลินจิต" หอบทองขาย 500 บาท ได้สมัยแชมป์

 อนาถปลอมกว่าครึ่ง


Prev
1 of 1
Next
updated: 18 ต.ค. 2555 เวลา 12:43:50 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
"แสน ส.เพลินจิต"อดีตแชมเปี้ยนโลกชาวไทย เผชิญชะตาชีวิตอีกรอบหลังหอบทองคำที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อกว่า 10 ปีเต็มน้ำหนักรวม 500 บาทไปขายรักษาเลือดออกในสมอง

เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม แสน ส.เพลินจิต หรือสมชาย เชิดฉาย อดีตนักมวยเจ้าของแชมป์โลกรุ่นฟลายเวท สมาคมมวยโลก (ดับเบิลยูบีเอ) ได้ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้ต้องเผชิญมรสุมชีวิตหลังแขวนนวมไปเมื่อปี 2546 ด้วยการเข้ารักษาอาการเลือดออกในสมอง อันเป็นผลมาจากการชกมวยอาชีพกว่า 10 ปี ซึ่งการรักษาต้องใช้เงินจำนวนมาก จึงได้นำทองคำแท่งและสร้อยคอทองคำที่บรรดาผู้สนับสนุนเคยมอบให้สมัยเป็นแชมเปี้ยนโลก รวมกันกว่า 500 บาทไปขาย แต่พบว่าเป็นทองปลอมกว่าครึ่งหนึ่ง นับเป็นความเจ็บปวดที่ถูกผู้สนับสนุนกระทำเช่นนี้

รายงานข่าวเผยว่า ก่อนหน้านี้แสน ส.เพลินจิต ได้รับการช่วยเหลือจากนายสมบัติ คุรุพันธ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ (สพก.) ให้เข้าทำงานในตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านกีฬามวย และประจำที่สนามกีฬาเฉลิม พระเกียรติ คลอง 6 จ.ปทุมธานี รับเงินเดือนละ 8,000 บาท

ขณะที่นายสกล วรรณพงษ์ รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ฝ่ายกีฬาอาชีพ และกีฬามวย ในฐานะดูแลสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวยตามพระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ.2542 กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดกรณีแสน ส.เพลินจิต ออกมาให้ข่าวว่าทองคำที่แจกกันบนเวทีและเก็บหอมรอมริบมาเป็นทองปลอมกว่าครึ่ง จึงยังไม่สามารถให้รายละเอียดต่างๆ ได้ในเวลานี้ อย่างไรก็ตาม เห็นใจที่นักมวยต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้ เบื้องต้นจะมอบหมายให้นายเดช ใจกล้า ผอ.สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ตรวจสอบรายชื่อของ แสน ส.เพลินจิต ว่าได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกของสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวยหรือไม่ หากเป็นสมาชิกแน่นอนว่า ทางสำนักงานคณะกรรมการกีฬามวยต้องเข้าไปให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เหมือนเช่นที่เคยเข้าไปช่วยเหลือ "ไอ้โบ้" รัตนพล ส.วรพิน ที่เคยเผชิญชีวิตตกต่ำก่อนหน้านี้จนปัจจุบันมีชีวิตที่ดีขึ้น

"อยากให้แสนเข้ามาพูดคุยกันที่ กกท. เพื่อได้ทราบรายละเอียด และ กกท.จะให้การช่วยเหลืออย่างแน่นอน" นายสกลกล่าว

สำหรับ "แสน ส.เพลินจิต" เกิดวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2514 เป็นชาวจังหวัดปทุมธานี ครองแชมป์โลกรุ่นฟลายเวทของสมาคมมวยโลก (ดับเบิลยูบีเอ) กลายเป็นแชมป์โลกคนที่ 19 ของไทย มีชื่อจริงว่า สมชาย เชิดฉาย เป็นบุตรชายของนายละเอียด และนางทิพย์ เชิดฉาย ทำสถิติการชก 27 ชนะ 26 (ชนะน็อก 6) แพ้ 1

แสน ส.เพลินจิต กระชากแชมป์โลกจากเดวิด กรีแมน นักชกเวเนซุเอลา ที่ จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อปี 2537 ก่อนจะป้องกันแชมป์โลกไว้ได้ 9 ครั้งและมาเสียเข็มขัดให้กับ โฮเซ่ โบนิญญา ผู้ท้าชิงชาวเวเนซุเอลา ที่ จ.อุบลราชธานี เมื่อปี 2539

ไฟต์ที่ประทับใจแฟนมวยชาวไทยจนถึงทุกวันนี้คือ การป้องกันตำแหน่งครั้งที่ 6 กับฮิโรกิ อิโอกะ นักมวยชาวญี่ปุ่น อดีตคู่ปรับของนภา เกียรติวันชัย โดยชนะทีเคโอในยกที่ 10 ถึงเมืองโอซาก้า ถิ่นของอิโอกะเลยทีเดียว ในวันที่ 17 ตุลาคม ปี 2538 ในปีเดียวกัน แสนได้รับรางวัลนักกีฬาอาชีพยอดเยี่ยม ประจำปี 2538

หลังเสียแชมป์แสนยังได้ขึ้นชกอุ่นเครื่องอีก 2-3 ครั้ง โดยย้ายไปอยู่ในสังกัดของ "เสี่ยเน้า" วิรัตน์ วชิรรัตนวงศ์ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะได้มีโอกาสชิงแชมป์อีกเลย ผ่านไป 2 ปี แสนจึงต้องแขวนนวมในเวลาต่อมา

ที่มา : นสพ.มติชนรายวัน












วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วิธีการรวยจากการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล


ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลก็รวยได้.....เชื่อไหมหละ??
การเสี่ยงโชคจากตัวเลขที่เรารอคอยทุกครึ่งเดือนนั้นก็เป็นความหวังเล็กๆให้มีลุ้นว่าเราต้องรวยเข้าสักวัน แล้วกว่าที่เราจะรวยจากการถูกรางวัลหละเป็นวันไหน ต้องรออีกนานเท่าไหร่ บางคนก็มีความหวังว่าซื้อทุกงวดมันก็ต้องถูกรางวัลเข้าสักวัน ถ้าคุณซื้อแล้วถูกรางวัลก็ยินดีกับความสำเร็จ แต่กว่าจะได้รางวัลนั้นๆคุณต้องลงทุนเท่าไหร่ สังเกตจากคนใกล้ตัวที่เราเล่าเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น หรือกองทุนรวมว่ามีผลดีผลเสียอย่างไรก็ไม่ค่อยสนใจและเห็นว่าเป็นการเสียเวลา อีกทั้งมีความเสี่ยงอีกด้วย เราก็ไม่เข้าใจว่าการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลสักใบแล้วไม่ได้รางวัลสุดท้ายก็ทิ้งกระดาษแผ่นเล็กๆนั้นไป มันก็ไม่ต่างอะไรกับการทิ้งเงินสักเท่าไหร่ แล้วไม่มีผลตอบแทนกลับมาอีกด้วย ความคุ้มค่ามันอยู่ตรงไหนกันหละ ส่วนเรื่องความเสี่ยงก็มีมากกว่าเพราะไม่มีหลักการอะไรแน่ชัดเพื่อซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลแต่ละใบ



วิธีการรวยจากการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล(รึเปล่า) 

- เก็บสลากกินแบ่งรัฐบาลไว้เป็นหนึ่งในของสะสม
ถ้าใครยังเลิกพฤติกรรมการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลไม่ได้ก็พยามยามซื้อให้น้อยลง จนกระทั่งเลิกซื้อไปเลยยิ่งดี แต่กว่าจะเลิกได้ก็ต้องมีอะไรมาดลใจกันสักนิดว่าทำไมต้องเลิก เคยไหมที่ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลแล้วเก็บพับอย่างดีไว้ในกระเป๋าสตางค์เก็บเหมือนเป็นไข่ในหิน ห้ามยับเด็ดขาด แต่พอตรวจรางวัลไปแล้วไม่ถูกเนี้ยซิก็เกิดอาการหงุดหงิดแล้วก็ขยำสลากกินแบ่งรัฐบาลใบนั้นๆเหวี่ยงลงถังขยะอย่างไม่ไยดี อ้าว....ทำไมถึงทำกับฉันได้ ( T_T ) ตอนซื้อมาก็ดูแลอย่างดีแต่พอไม่ดีก็ทิ้งซะงั้น วันหลังอย่างทิ้งให้เป็นขยะรกโลกนะค่ะ รบกวนเก็บสลากกินแบ่งรัฐบาลทุกใบที่ซื้อไว้เป็นหนึ่งในของสะสมค่ะ หาที่เก็บเป็นกล่องใสๆสักใบ วางไว้ในที่ต้องเดินผ่านทุกวัน เวลาเดินผ่านก็กำหนดจิตว่า "เงินเก็บเราหนอ" ถ้าเก็บไว้เยอะมากถึงขนาดที่หยอดใส่กล่องไม่ได้ก็แกะกล่องนั้นออกมาดู แล้วคุณจะเห็นอดีตแบงก์ร้อยอยู่เต็มกล่องเลยค่ะ ถ้าจะกรุณาสักนิดก็ลองเอามานับดูว่าเราเก็บได้กี่ใบแล้ว

คิดเป็นเลขกลมๆว่าล็อตเตอร์รี่ใบละ 100 บาท
ซื้อทุกงวดเป็นเวลา 1 ปีก็เป็นเงิน 2,400 บาท
ซื้อทุกงวดเป็นเวลา 2 ปีก็เป็นเงิน 4,800 บาท
ซื้อทุกงวดเป็นเวลา 5 ปีก็เป็นเงิน 12,000 บาท ว้าว.......เงินส่วนนี้เสียโอกาสการลงทุนไปตั้งเท่าไหร่!!

เคยได้ยินคนเล่าให้ฟังว่าคนนั้นโชคดีมากถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลด้วย เราก็แสดงความยินดีด้วย แต่กว่าจะูถูกรางวัลก็ลงทุนซื้อทุกงวดมาแล้วหลายปี แล้วรางวัลที่ได้มาจะคุ้มกับการลงทุนไหมเนี้ย (@_@)!!
บางคนบอกไม่มีเงินออม แต่มีเงินมาซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล นั่นแหละค่ะให้สลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นจุดกำเนิดของการออม พอคุณเห็นตัวเลขของการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าก็น่าจะเปลี่ยนวิธี ถ้าชอบลุ้นรางวัลก็อาจจะซื้อเป็นสลากออมสินหรือไม่ก็สลาก ธกส. ซื้อไปแล้วมีลุ้นรางวัล ดอกเบี้ยนิดหน่อยแถมเงินต้นยังอยู่ครบอีกด้วยค่ะ

-ซื้อน้อยลงเรื่อยๆ
การเลิกซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลอาจจะเลิกยาก แต่ก็ต้องคิดว่าเริ่มซื้อได้ก็สามารถเลิกได้เหมือนกัน คงต้องทำทีละนิดจากปกติที่ซื้อเป็นชุดๆเสียเงินคราวละหลายพัน(เพราะได้เลขเด็ดมากะทุ่มสุดตัว) ก็หันมาซื้องวดละใบก็พอ(เล่นนิดๆพอตื่นเต้น)  หลังจากนั้นก็ค่อยๆลดปริมาณการซื้อลงโดยการร่วมกันซื้อกับเพื่อน เพราะสลากกินแบ่งรัฐบาล 1 ใบมี 2 ส่วนก็หารกับเพื่อนตอนซื้อก็ได้ แต่ก็อย่าลืมเก็บสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้นๆไว้เป็นเครื่องเตือนใจว่าซื้อมากี่ครั้งแล้ว เป็นเงินเท่าไหร่ด้วยนะค่ะ ถ้าใจไม่กล้าพอก็อย่าหักดิบโดยการที่เลิกซื้ออย่าฉับพลัน มิฉะนั้นอาจจะลงแดง ก็ใช้วิธีลดปริมาณลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเลิกซื้อไปเลยค่ะ

-ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลพร้อมๆกับเก็บเงิน
ในกรณีที่ไม่สามารถเลิกการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลได้จริงๆก็ลองวิธีนี้นะค่ะ ต้องมีเงินสองส่วน ถ้าเราซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดนั้นเท่าไหร่ก็ต้องเก็บเงินหยอดกระปุกเท่ากับเงินที่ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล ทำคู่กันไปค่ะ พอครบ 3 เดือนก็นำเงินที่หยอดกระปุกมาฝากที่ธนาคาร ครบปีก็มาตรวจดูว่าเงินลงทุนในสลากกินแบ่งรัฐบาลกับเงินฝากธนาคารอะไรจะให้ผลตอบแทนมากกว่ากัน ถ้าเป็นสลากกินแบ่งรัฐบาลมี 2 แบบคือ ถูกรางวัลกับเสียเงินต้นทั้งหมด ส่วนเงินฝากธนาคารแม้ว่าได้ดอกเบี้ยเล็กน้อยแต่เงินต้นก็ยังอยู่ครบ ทำแบบนี้ก็จะเป็นการบังคับตนเองให้ออมเงินได้ด้วยค่ะ

วิธีการลุ้นรางวัลเงินต้นอยู่ครบ เช่น การซื้อสลากออมสินกับธนาคารออมสิน  หรือสลากทวีสินของ ธกส. ได้ลุ้นรางวัลเหมือนกัน ถ้าไม่ถูกรางวัลและถือไปจนครบกำหนดก็ยังได้รับดอกเบี้ย มีตัวอย่างแม่ค้้าขาวก๋วยเตี๋ยวลุยสวนกับพ่อค้าขายพวงมาลัยแถวที่ทำงานมาเล่าให้ฟัง เราอยากรู้ว่าซื้อหวยงวดละกี่บาท ทางพ่อค้าขายพวงมาลัยก็เล่นงวดละ 1-2 พันบาทต่องวด ไม่ค่อยถูกหรอกนะ แต่ชอบลุ้นรางวัล ส่วนแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวลุยสวนก็บอกว่าเคยซื้อหวยเหมือนกัน แต่มันไม่ถูกเลยเลิกเล่น เพราะเสียดายเงิน แต่ก็ยังชอบการลุ้นรางวัลก็เลยมาซื้อสลากออมสินแทน เงินต้นไม่หายด้วย อุ่นใจดี

เราก็เลยคิดว่าอะไรที่ทำให้คนสองคนนี้คิดเรื่องการลุ้นถูกรางวัลแตกต่างกัน บางคนยินดีกับการที่ซื้อหวยแล้วเงินต้นหายก็ยังยินดีที่จะจ่าย ทั้งที่ก็รู้ว่าเงินนั้นหายากก็ยังจ่ายง่ายๆ กับบางคนที่คิดว่าแบบนี้ก็ลุ้นได้เหมือนกัน เงินต้นก็ไม่ไปไหน แล้วคุณหละคิดว่าอะไรทำให้สองคนนี้คิดแตกต่างกัน??



"ไม่มีวิธีรวยทางลัด ถ้าอยากได้ต้องสร้างเอง"



========================================================

วีดีโอน่าสนใจ





========================================================

การ์ตูนฉบับหวยรวยได้(รึเปล่า)











บทความน่าสนใจ

สร้างแรงบันดาลใจเป็นตัวเลข
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/10/blog-post_28.html

ความสามารถของเรามีมูลค่าเท่าไหร่??
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/10/blog-post.html

ลูกจะมีวินัยทางการเงินหรือไม่นั้นต้องเริ่มจากพ่อกับแม่
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/08/blog-post_4.html


รู้อะไรไม่สู้ "รู้งี้" กับการวางแผนเกษียณ
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/06/blog-post.html

ต้นทุนชีวิต - มีมูลค่าเท่าไหร่
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/05/blog-post.html

เงินฝากเขย่าโลก
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/04/blog-post_20.html

แหล่งเก็บเงินที่ปลอดภัยนั้นไม่มีจริง!!
==> http://pajareep.blogspot.com/2013_04_01_archive.html

แบ่งเงินออมมาเก็บดอลล่าร์กันดีกว่า
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/03/blog-post_25.html

ทิศทางการตลาดเพื่อดูแนวโน้มหุ้นแห่งอนาคต

บทเรียนในความมืดกับการวางแผนการเงิน
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/02/blog-post_24.html

ร่ำรวยจากสิ่งที่มี

การเงินส่วนบุคคล ตอน การวิเคราะห์สภาพคล่องส่วนบุคคล
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/01/blog-post_11.html







วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วิธีปลูกต้นไม้การลงทุนตั้งแต่เด็กทำได้อย่างไร


ถ้าพูดถึงการลงทุนคุณจะคิดถึงอะไร ??

แน่นอนต้องมีคำว่า "เงิน" ผุดขึ้นมาเป็นคำแรกๆ เพราะชีวิตทุกวันนี้ก็จะคิดแต่ว่า เรียนจบก็ต้องทำงาน จะต้องทำมาหาเงินยังไง จ่ายเงินอย่างไรให้ประหยัดที่สุด มีหนี้ที่ต้องชำระแล้วจะหาที่ไหนมาจ่าย จะเอาเงินไปลงทุนอย่างไรให้เงินงอกเงย ให้เงินทำงานอย่างไร ออมเงินไว้ในธนาคารเท่าไหร่ดี ไปซื้อกองทุนรวม ซื้อพันธบัตร ลงทุนหุ้นตอนนี้ดีไหม ซื้อทองคำดีรึเปล่า จะเล่น TFEX เพื่อป้องกันความเสี่ยง(หรือเสี่ยงมากขึ้น)ของพอร์ตการลงทุนดีรึเปล่า แล้วอีกสาระพัดเรื่องการเงิน เงิน เงิน......เงินที่เราใช้ในการดำรงชีพก็เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนทั้งแรงกายและแรงใจหามาเช่นกัน และเงินคำเดียวกันนี่แหละก็สามารถเป็นจอบที่ขุดให้เราลงหลุมแห่งความสะดวกสบายด้วยเช่นกัน ในกรณีนี้จะกล่าวถึงความสะดวกสบายในการเลี้ยงดูบุตรหลานของคุณ ก็ลองเปรียบเทียบวิวัฒนาการของเล่นของเด็กตั้งแต่พึ่งพาธรรมชาติจนถึงเจริญถึงขั้นรู้จักแต่เทคโนโลยี

เด็กสมัยนี้เก่งเทคโนโลยีตั้งแต่อยู่ประถม ผู้ปกครองต้องนำไอแพดใส่พานให้ลูกเพื่อให้ลูกขยันเรียน เล่น Facebook เล่นเกมส์ออนไลน์ อัพยูทูปกันอย่างสนุกสนาน ไม่ใช่ว่าเรื่องพวกนี้ไม่ดีนะค่ะ มันจะดีถ้าให้ใช้แต่พอดี  ถ้าอยู่กับเทคโนโลยีมากเกินไปความมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างขาดหายไป ซึ่งคุณอาจจะเคยไปทานข้าวกับเพื่อนที่ันั่งเล่นมือถือกันหมดโดยไม่สนใจคุยกันบนโต๊ะทานข้าวเลย มัวแต่คุยกับคนอื่นทาง WhatsApp , Line ... แล้วคุณจะไปทานข้าวด้วยกันเพื่ออะไร!!




เด็ก คือ ต้นไม้แห่งการเีรียนรู้ เราควรช่วยกันลงทุนในต้นไม้ต้นนี้ให้เติบโตเป็นต้นไม้ที่แข็งแกร่งต่อสู้กับคลื่นลมของทุนนิยมได้ ก็ต้องช่วยกันปลูกฝังสิ่งดีๆลงไปโดยให้มีความสมดุลทั้ง IQ และ EQ เพื่อความยั่งยืนของสังคม บางอย่างต้องอาศัยระยะเวลาและจิตวิทยาในการสั่งสอน ขอขอบคุณวีดีโอทั้ง 3 ตอนนี้มาจากรายการพลเมืองเด็ก ตอน ดูแลตายายบ้านบางแค ออกอากาศช่วงเดือนกันยายน 2551 ถ้าคุณดูจบแล้วนอกจากได้เสียงหัวเราะจากแนวคิดเด็กๆและจะได้แง่มุมในชีวิตหลายๆอย่างอีกด้วย เช่น

ตัวคุณจะรู้ว่าทำไมคุณต้องออมเงินเพื่อวัยเกษียณอายุ เพราะคุณสามารถเลืือกที่จะมีชีวิตในวัยนั้นได้ตั้งแต่ตอนที่คุณมีแรงในการทำงานเก็บเงิน ถ้ามีลูกหลานเลี้ยงดูก็โชคดี แต่ถ้าไม่มีหละจะทำอย่างไร วิถีชีวิตในบ้านบางแคเป็นมุมหนึ่งของสังคมที่เราต้องเข้าไปเรียนรู้ นอกจากนี้ยังได้แนวคิดในการสอนเด็กโดยการให้ประสบการณ์เป็นตัวสร้างการจดจำในการเรียนรู้ได้อีกด้วย

ลูกหลานของคุณจะได้รับรู้ถึงการเสียสละโดยการช่วยเหลือผู้อื่น ขัดเกลาจิตใจให้มีความอ่อนโยน รู้จักสร้างความสัมพันธ์ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความอดทน การดูแลคนชรานั้นทำให้เด็กรู้จักวัฏจักรของชีวิตได้โดยไม่ต้องท่องจำจากในตำราว่าคนเรา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นอย่างไร เมื่อเค้าเห็นวิถีชีวิตแบบนี้ก็ทำให้สอนเรื่องการลงทุนง่ายขึ้น เช่น สอนว่าต้องหยอดเงินใส่กระปุกเพราะอะไร ทำไมห้ามใช้ของฟุ่มเฟือย และเค้าอาจจะเริ่มวางแผนเกษียณตั้งแต่ยังเรียนไม่จบก็ได้นะค่ะ

วีดีโอนี้จะดูสนุกขึ้นถ้าคุณให้ลูกๆของคุณมาร่วมดูด้วยกันค่ะ

ตอนที่ 1 เป็นตอนที่พิธีกรนำน้องรุจ(เด็กชายอายุ 11 ขวบ) และน้องแพร (เด็กหญิงอายุ 10 ขวบ) เข้ามาบำเพ็ญประโยชน์ที่บ้านบางแคเป็นเวลา 3 วัน โดยการเป็นผู้ช่วยพี่เลี้ยงดูแลคนชรา ต้องมาดูว่าน้องรุจซึ่งเป็นเด็กที่เรียนเก่ง อยู่ที่บ้านพ่อกับแม่ทำทุกอย่างให้ทั้งหมด ทำงานบ้านไม่ค่อยเป็น เมื่อฟังพี่เลี้ยงเล่าว่าต้องทำอะไรบ้างก็เกิดความเครียด แล้วน้องรุจทำอย่างไรถึงผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ ส่วนน้องแพรมีวิธีการทำอย่างไรให้สนิทกับคนชราได้เพียงไม่กี่นาที เราต้องมาติดตามการแก้ปัญหาของเด็กๆกันค่ะ







ตอนที่ 2 เป็นภาระกิจที่น้องรุจกับน้องแพรไม่เคยทำมาก่อนเลย คือ การซักผ้า อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่คือซักผ้าที่เต็มไปด้วยอุจจาระและปัสสาวะของคุณตาคุณยาย(แค่นึกก็ขนลุกแล้ว) แต่สำหรับคนที่ไม่เคยทำมาก่อนนั้นคิดอย่างไรถึงตั้งใจทำจนสำเร็จได้ โดยไม่รู้สึกรังเกียจ ต้องมาดูแรงจูงใจของน้องๆค่ะ ว่าเกิดจากอะไรค่ะ








ตอนที่ 3 วันสุดท้ายของภาระกิจก็คือ ทำกิจกรรมสร้างความสุขให้กับคุณตาคุณยาย น้องรุจกับน้องแพรสร้างความประทับใจให้คุณตาคุณยายโดยการแสดงง่ายๆที่สร้างเสียงหัวเราะให้คนชราได้ไม่น้อย อีกทั้งยังมีเสียงร้องเพลงใสๆของน้องแพรที่ทำใ้ห้คุณตาคุณยายเต้นจนลืมแก่ได้เลยทีเดียว คราบน้ำตาของความสุขจะทำให้ทุกคนประทับใจไม่รู้ลืมเลยค่ะ












วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

นักกีฬาโอลิมปิกกับนักลงทุน...เหมือนกันอย่างไร




“ยูเซน โบลต์ (Usain Bolt : http://en.wikipedia.org/wiki/Usain_Bolt) เจ้าลมกรดชาวจาเมกา ระบุว่าตนตั้งเป้าทำลายสถิติการวิ่ง 100 เมตรที่เร็วที่สุดในปีนี้ของตัวเองให้ได้ พร้อมหวังผลงานในโอลิมปิกลอนดอนเกมส์ 2012 ให้ดีกว่าเมื่อก่อนที่ได้เหรียญทองมา 3 เหรียญและอยากทำลายสถิติโลกตัวเองด้วย ซึ่งปัจจุบันทำสถิติที่เร็วที่สุดในการแข่งขันวิ่ง 100 เมตรอยู่ที่ 9.82 วินาที และเค้าจะทำลายสถิติโดยทำให้ได้ 9.4 วินาทีในลอนดอนเกมส์ 2012” (ที่มา : www.siamsport.co.th)

ถ้าอ่านผ่านๆก็จะรู้ว่าเป็นนักกีฬาที่วิ่งเก่งเพราะได้หลายเหรียญทองและต้องการเป็นที่หนึ่งจากการที่ชอบทำลายสถิติตนเอง จนคิดว่าไม่มีใครเทียบได้ เราจะรู้หรือไม่ว่าระยะเวลาแค่ 9.82 วินาทีนั้นต้องแลกกับการอดทนฝึกซ้อมมานานกี่ปี ต้องผ่านสนามแข่งขันมาเท่าไหร่ ความดีใจ ความท้อแท้และความผิดหวังที่ต้องเจอตลอดช่วงการเป็นนักกีฬา ฯลฯ ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นการลงทุน ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จของนักกีฬานั้นน่าสนใจและสามารถนำมาประยุกต์เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการลงทุนได้เช่นกัน ในแง่ที่ว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ทุกอย่างต้องอาศัยการฝึกซ้อมและฝึกฝนด้วยความอดทน ไม่ต่างกับนักลงทุนที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งก็ต้องศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลาไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวว่าเส้นทางใดจะทำให้คุณประสบความสำเร็จได้นอกจากเป้าหมายที่ชัดเจนกับรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง

ข้อมูลเปรียบเทียบสถิตินักวิ่งเหรียญทอง 100 เมตร ตั้งแต่ 1896 - 2012 
เปรียบเทียบนักกีฬาโอลิมปิกกับนักลงทุน

เป้าหมาย

นักกีฬาโอลิมปิก 
     เหรียญรางวัล การมีผลงานที่ดีขึ้นโดยการทำลายสถิติตนเองหรือสถิติเก่าที่มีคนเคยทำไว้ 
(จากข่าว : ยูเซน โบลต์ เป็นนักกีฬาวิ่ง ในการวิ่งประเภท 100 เมตรคาดหวังที่จะทำลายสถิติตนเองโดยทำให้ได้ 9.4 วินาทีในลอนดอนเกมส์ 2012)

นักลงทุน 
     ความมั่งคั่งทางการเงินโดยการมีอิสระภาพทางการเงิน (การตั้งเป้าหมายตามหลักของ SMART @http://pajareep.blogspot.com/2012/06/smart.html)

ปฏิบัติตามเป้าหมาย

นักกีฬาโอลิมปิก 
     การขยันฝึกซ้อมทุกวัน ด้วยความอดทน เพียรพยายาม มีวินัยและจิตใจที่มุ่งมั่น

นักลงทุน
     การศึกษาหาความรู้เรื่องการลงทุนจากแหล่งต่างๆ เช่น เข้าฟังอบรมสัมมนา อินเตอร์เน็ต อ่านหนังสือเกี่ยวกับบุคคลที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวจากการลงทุนเพื่อเป็นคติเตือนใจ ทุกอย่างต้องอาศัยเวลาและประสบการณ์ในการเรียนรู้ ถ้ามั่นใจและเข้าใจความเสี่ยงจึงตัดสินใจลงทุน

การตรวจสอบ

นักกีฬาโอลิมปิก
     การแข่งขันเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เก็บสถิติของตนเอง ค้นหาเทคนิคส่วนตัวและตรวจดูความสามารถของคู่แข่งขันเพื่อประเมินความเป็นไปได้ที่จะชนะ ถ้ายังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ก็จะต้องกลับมาเพิ่มการฝึกซ้อมให้มากขึ้น ทำสถิติให้ดีขึ้น แข่งขันในรายการต่างๆให้มากขึ้น

นักลงทุน
     ติดตามการลงทุนของตนเป็นระยะๆ อาจจะเป็นทุก 3 เดือน 6 เดือนหรือ 1 ปี ว่าเป็นไปตาม เป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ ถ้าเป็นตามเป้าหมายก็พัฒนาให้ดีขึ้นหรือทำให้ถึงเป้าหมายเร็วขึ้น แต่ถ้ายังไม่เป็นไปตามเป้าหมายหรืออาจจะล่าช้ากว่าที่กำหนดก็ต้องมาตรวจสอบว่าผิดพลาด ณ จุดใด เป็นเพราะสภาพตลาด เศรษฐกิจหรือสภาพจิตใจที่ยังไม่เข้มแข็ง เพราะบางครั้งกลยุทธ์การลงทุนออกแบบมาเหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนอยู่แล้ว แต่เพราะความอ่อนไหวต่อข่าวสารมากเกินไปอาจจะทำให้พลาดเป้าหมายได้ค่ะ ถ้าการพลาดเป้าหมายการลงทุนนั้นมาจากสภาพเศรษฐกิจก็ต้องมาดูว่าควรปรับสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไร


"ถ้าเหรียญทองเป็นตัววัดความสำเร็จของนักกีฬาโอลิมปิก 
ความมั่งคั่งก็เป็นตัววัดความสำเร็จของการลงทุนได้เช่นกัน"

บทความน่าสนใจ

เริ่มวางแผนเกษียณตอนนี้จะได้ไม่เหนื่อยมาก