วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ที่มาของบล็อก "อภินิหารเงินออม" กับหนังสือเล่มแรก


ทางสำนักพิมพ์ส่งหนังสือมาแจกให้ผู้อ่าน เราแบ่งหนังสือบางส่วนไปบริจาคและใช้เป็นรางวัลในการร่วมสนุกตอบโดยมีคำถามว่า

"หวยครั้งล่าสุดที่คุณซื้อมานั้น ถูก....อะไร"

ข้อ 1 ถูกรางวัล 
ข้อ 2 ถูกกิน 

โดยตอบว่าข้อ 1 หรือข้อ 2 มาทางบทความนี้หรือส่งทางอีเมล์ s.superware@gmail.com เพื่อรับหนังสือฟรีค่ะ

หมายเหตุ การส่งคำตอบผ่านทางบทความนี้อาจจะยังไม่เห็นคำตอบทันที เพราะตั้งระบบคัดกรองคอมเม้น เราจะกลับมาอ่านเพื่อกดเผยแพร่คอมเม้นต่อไป  ที่ต้องทำแบบนี้เพราะมีคอมเม้นโฆษณาสินเชื่อมาแปะมากมายจนทำให้บล็อกเลอะมากและเราตามลบไม่ไหว จึงขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

ขณะนี้แจกหนังสือหมดแล้ว
ขอบคุณที่ร่วมสนุกนะคะ 
ครั้งหน้ามาร่วมตอบคำถามกันใหม่ค่ะ

===============================================================

สำหรับผู้ที่ต้องการทราบประวัติของบล็อก เชิญอ่านทางนี้ค่ะ

ประวัติย้อนหลังของบล็อก "อภินิหารเงินออม" และหนังสือเล่มนี้ว่าเริ่มมาได้อย่างไร เมื่อปีที่แล้วมีวันเลขสวยคือ วันที่ 5 พ.ค. 55 หรือ 5/5/55 เราคิดว่าน่าจะทำอะไรดีๆในวันนั้นเพื่อเป็นวันที่น่าจดจำ บังเอิญแม่ชวนไปไถ่ชีวิตโคกระบือที่วัดหนึ่งในจังหวัดลพบุรี เราก็เริ่มคิดละเพราะว่าคนที่ไถ่ชีวิตโคควรจะเลิกทานเนื้อ ประเด็นคือเราชอบทานเืนื้อมากถึงมากที่สุด เราจะต้องเลิกทานเนื้อตลอดชีวิตเลยหรอ แล้วตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ทำให้เรารู้ว่าการเลิกทานเนื้อมันดีอย่างไร การไถ่ชีวิตโคกระบือจะมีเกษตรกรมารับไปเลี้ยงแทนเรา แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ไปดูเลยว่าโคของเราเป็นยังไงบ้าง

พอกลับบ้านเราก็เริ่มทำสิ่งดีๆชิ้นที่  2 คือ การเริ่มเขียนบล็อกนี้ การตั้งชื่อครั้งแรกอยากให้มีเรื่องของการออมเงินอยู่ด้วย จนมาได้ชื่อว่า "อภินิหารเงินออม" เป้าหมายหลักของการเขียนเพื่อให้คนทั่วไปหันมาออมเงินมากขึ้น โดยที่เราจะใช้หลักทฤษฎีที่เรียนมาในหลักสูตร CFP (หลักสูตรนักวางแผนการเงิน) ดัดแปลงเพื่ออธิบายให้คนอ่านเข้าใจง่ายมากขึ้น ตั้งใจว่าจะเขียนเดือนละ 5-6 บทความ เขียนแล้วก็ส่งให้เพื่อนอ่านก่อนว่าเราเขียนอธิบายเข้าใจไหม ยากไปรึเปล่า ถ้าเพื่อนเราเข้าใจก็สามารถนำไปเผยแพร่ได้ ทำแบบนี้จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2555 มีการประกวด Thailand Blog Awards 2012 เราก็ลองส่งประกวด โดยบล็อกที่เราส่งเข้าประกวดเป็นเรื่อง วิธีการรวยจากการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล (http://pajareep.blogspot.com/2012/08/blog-post_13.html)

ที่มาของบทความนั้นมาจากบทสนทนาของเรากับแม่ เพราะในมุมมองของแม่เห็นว่าตลาดหุ้นที่เราทำงานอยู่นั้นคือการพนัน เราก็ตอบแม่กลับไปว่า "แล้วแม่ซื้อล็อตเตอร์รี่ทำไม ถ้าซื้อหุ้นแล้วลง 50% เงินยังเหลือแต่ถ้าซื้อหวยแล้วไม่ถูกเงินก็เป็นศูนย์" ตึ่งโป๊ะ!! แล้วเราก็กลับบ้านเขียนบล็อกเรื่องหวย โดยคิดว่าอยากจะให้คนเล่นหวยอ่านก็เลยตั้งหัวเรื่องแบบนั้นเพื่อให้คนเล่นหวยตระหนักว่าควรเก็บออมเงินมากกว่าที่จะเล่นหวยจนมีหนี้สินล้นพ้นตัว

จุดเปลียนเกิดขึ้นในวันที่ 21 กันยายน 2555 ปกติเราไม่ค่อยเช็คอีเมล์สักเท่าไหร่ว่ามีใครส่งอะไรมาบ้าง วันนั้นนึกครึ้มใจอะไรไม่รู้ลองเปิดดูเล่นๆ แล้วเราก็ต้องตบหน้าตัวเอง 1 ทีว่าเราฝันไปรึเปล่าเพราะมี บก.คนนึงมาอ่านบทความนี้แล้วชอบก็ส่งเมล์มาเพื่อชวนเขียนพ็อกเก็ตบุ๊ค จำได้ว่าเราต้องเรียกรุ่นน้องมาช่วยอ่านเมล์ว่าพี่อ่านถูกใช่ไหมว่า "มีคนมาชวนเขียนหนังสือ" เรายิ้มไม่หุบกันเลยทีเดียวเพราะมันเป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุด = ^ _ ^ =

ถ้าเป็นนักเขียนแล้วต้องทำยังไงบ้าง เราต้องไปลงเรียนที่ไหน มีที่ไหนเปิดสอนเพื่อเป็นนักเขียนบ้าง ทั้งหมดนี้เราเริ่มถาม Google สรุปว่าถ้าไปเรียนก็ต้องรออีกนานกว่าจะเปิดอบรม แล้วเราก็เจอหนังสือเล่มนี้ที่สอนการเขียน ชื่อหนังสือ เขียนอย่างนักเขียนมืออาชีพ เราอ่านวิธีการเขียนจากประสบการณ์ตรงของนักเขียนก็เริ่มมองภาพออกว่าจะเขียนอย่างไร ถ้าเรามัวแต่กลัว ไม่กล้าเริ่มต้นก็ไม่รู้ว่าจะสำเร็จเมื่อไหร่ เราลายมือแย่มากก็ต้องใช้การพิมพ์แทนการเขียน เราพิมพ์แล้วลบ พิมพ์แล้วลบอยู่นานกว่าจะผ่านไปแต่ละบท 3 เดือนกับการเขียนต้นฉบับ แทบจะใช้วันลาหมดกันเลยทีเดียว(เราทำงานประจำไปด้วยเขียนไปด้วย)

ช่วงกลางปีเราถึงจะเริ่มเห็นตัวการ์ตูนที่วาดฝันไว้ออกมาเป็นรูปร่าง นักวาดๆออกมาได้ถูกใจเรามากๆ เริ่มมีการจัดเรียงหน้า เราติดตามทุกขั้นตอนอย่างตื่นเต้น มีการแก้ต้นฉบับระหว่างทางบ้างเพื่อให้ข้อมูลอัพเดทที่สุด เมื่อเนื้อหาเรียบร้อยก็ถึงขั้นตอนทำปกหนังสือ เราเห็นภาพสเก็ตของปกจนกระทั่งออกมาเป็นปกจริงๆ บก.แจ้งว่าหนังสือจะออกมาในงานหนังสือเดือนตุลาคม 56 อารมณ์ตอนนั้นดีใจมากๆกับสิ่งที่รอคอยมาหลายเดือน แล้วฝันของเราที่จะได้เห็นเล่มจริงก็ดับลงเพราะงานล้นมือจนคนที่สำนักพิมพ์ทำงานไม่ทัน ทำให้หนังสือของเราออกล่าช้าออกไปอีก 1 เดือน แม่ให้กำลังใจเราว่า "ไม่ช้าก็เร็วหนังสือต้องออกอยู่ดีไม่ต้องคิดมาก "

แม่คิดบวกได้ขนาดนี้เราก็มีกำลังใจมากขึ้น ลึกๆแล้วเราดีใจมากที่ได้ทำหนังสือเล่มนี้ แม่ภูมิใจในตัวเรามากกว่าเดิมเพราะเป็นการพิสูจน์ว่าลูกหัวดื้อคนนี้ก็ทำอะไรสำเร็จกับเค้าเหมือนกัน ณ จุดนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้โอกาสเขียนบทความเรื่องการออมเงินในนิตยสารเพื่อเผยแพร่ให้คนไทยมีค่านิยมเรื่องการออมเงินมากขึ้น และหวังว่าจะได้รับโอกาสให้ทำอื่นๆต่อไปค่ะ ^_^

ภาพการเดินทางของอภินิหารเงินออม.....เริ่ม ณ วันที่ 5/5/55

 ภาพของแม่กับน้องชาย กำลังนำพวงมาลัยไปคล้องคอวัว

ภาพของวัวที่เราไถ่ชีวิตชื่อสายพวง หมายเลข 15

พวกมาลัยที่เจ้าหน้าที่แจกให้กับผู้ที่ไถ่ชีวิตโคกระบือ
(ประเด็นคือ แม่บอกว่าหวยงวดนั้นออกเลขนี้ด้วย แต่ไม่มีใครซื้อก็เลยอดกันไป 555) 

หนังสือที่อ่านเพื่อเป็นนักเขียน

พิมพ์ต้นฉบับส่ง บก.

ภาพสเก็ตตัวการ์ตูนและหน้าปก กับของจริง

แจกลายเซ็นให้แม่ไปแจกเพื่อนๆ

ผลงานทั้งหมด


ลิงค์รวบรวมผลงานทั้งหมดของอภินิการเงินออมค่ะ 

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วิธียืมเงินเพื่อนที่ได้เงินชัวร์ๆ


ปัญหาเงินขาดมือนั้นเกิดได้กับทุกคนขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกที่จะแก้ปัญหาการเงินด้วยวิธีไหน เช่น ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น หารายได้เพิ่ม กดบัตรเครดิต กู้เงินธนาคาร ยืมเงินครอบครัว บางคนใช้ทุกวิธีแล้วก็ยังหาเงินไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีสุดท้าย คือ การขอยืมเงินเพื่อน แต่ก็ติดปัญหาที่ว่าไม่รู้จะเอ่ยปากขอยืมเงินเพื่อนอย่างไร ขอยืมไปไม่รู้ว่าเพื่อนจะให้ยืมรึเปล่า

บทความนี้จะบอกถึงวิธียืมเงินเพื่อนที่ได้เงินชัวร์ๆ ดังนี้
  • ลูกหนี้ที่ดีต้องมีสัจจะ 
    • เมื่อรับปากว่าจะคืนวันไหนก็ต้องเป็นวันนั้น ห้ามผัดวันประกันพรุ่ง บอกว่าจะคืนวันนี้ก็ต้องเป็นวันนี้อย่าเลื่อนว่าเป็นวันอื่นๆ มิฉะนั้นความน่าเชื่อถือของคุณก็จะลดลง และอย่าลืมว่าเจ้าหนี้ของคุณก็ต้องมีเหตุเดือดร้อนต้องใช้เงินเหมือนกัน ถ้ายืมแล้วไร้สัจจะไม่คืนตรงวันแบบนี้อย่าหวังว่าครั้งต่อไปจะมีใครให้ยืมเงิน ถ้าจะสร้างเครดิตให้ตัวเองต้องยืมแล้วรีบคืนจะดีกว่านะจ๊ะ หรือประเภทที่ 2 คือ การตลกบริโภคชวนเพื่อนไปกินข้าวแล้วไม่ยอมจ่าย โดยให้เพื่อนจ่ายเงินแทนไปก่อนแล้วบอกว่าจะชำระคืนทีหลัง ถ้ามีเงินแล้วรีบคืนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าตีเนียนแกล้งทำเป็นลืมไม่คืนเงินแล้วทำบ่อยๆแบบนี้ใครที่ไหนจะยอมไปกินข้าวด้วย ถ้าทำนิสัยให้เพื่อนจ่ายเงินค่าข้าวแทนไปเรื่อยๆต่อไปอาจจะต้องกินข้าวคนเดียว เพราะเพื่อนรู้พฤติกรรมคุณแล้วไม่อยากชวนมากินข้าวด้วย
  • ลูกหนี้ที่ดีต้องไม่อาย 
    • เมื่อยืมเงินแล้วต้องกล้าสู้หน้ากับเจ้าหนี้ อย่าหลบหน้าแม้ว่าไม่มีเงินคืน การหลบหน้าไม่ช่วยให้หนี้ที่มีอยู่หายไป แต่มันจะทำให้เจ้าหนี้รู้สึกโกรธและคิดว่าคุณเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าสู้กับความจริง ความน่าเชื่อถือที่คุณมีก็จะยิ่งลดลงเรื่อยๆ ทางที่ดีที่สุด คือ หันหน้าไปบอกเจ้าหนี้ตรงๆว่าตอนนี้คุณกำลังทำอะไรเพื่อพยายามชดใช้คืนหนี้บ้าง 
  • ลูกหนี้ที่ดีต้องไม่ทำร้ายจิตใจเจ้าหนี้ 
    • ขึ้นชื่อว่าลูกหนี้ต้องรู้จักเจียมตัวไว้เสมอว่าเงินที่ยืมมานั้นเป็นเงินคนอื่น ถึงเวลาเจ้าหนี้ทวงคืนก็ต้องให้ "อย่าเหนียวหนี้" หรือบางครั้งลูกหนี้มีเงินไปช้อปปิ้งที่ต่างประเทศ แล้วอัพรูปลง Facebook หรือ IG ด้วยท่าทีที่เบิกบานใจ รู้ไหมว่าเจ้าหนี้จะรู้สึกเจ็บใจแค่ไหน เพราะทำให้คิดว่า "มีสติปัญญาหาเงินไปช้อปปิ้งได้ แต่ทำไม่มีเงินมาคืนเจ้าหนี้" และอย่าให้เจ้าหนี้รู้สึกผิดเวลาไปทวงเงินคืนว่าเหมือนเป็นคนผิดที่ต้องไปทวงเงินลูกหนี้ ซึ่งน่าจะเป็นลูกหนี้ต่างหากที่ต้องละอายใจที่ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะหาเงินมาชำระหนี้ได้ ดังนั้น เมื่อมีเงินรีบชำระหนี้ดีที่สุด
  • ลูกหนี้ที่ดีต้องรักษามิตรภาพ 
    • เมื่อยืมเงินเืพื่อนแล้วคืนครบตาุมกำหนดแค่นี้เพื่อนก็ดีใจมากมาย แต่จะให้ดีกว่านั้นเืพื่อเครดิตที่ดีและจะได้ยืมเงินต่อในอนาคตลูกหนี้ควรแถมดอกเบี้ยให้ด้วยเพื่อมิตรภาพที่ยั่งยืน อย่าทำตัวปากหวานรักเพื่อนในวันที่เพื่อนให้ยืมเงินแล้วชิ่งหนี้ไม่ใช้หนี้ แบบนี้มิตรภาพที่มีมาก็หมดลงด้วยเงินก้อนที่คุณยืมไป โดยมูลค่าของเงินที่ยืมแลกกับมิตรภาพความเป็นเพื่อนนับสิบปีมันคุ้มที่จะแลกหรอ แม้ว่าคุณจะมีความสุขระยะสั้นจากเงินที่ยืมแล้วไม่คืน แต่คุณผลร้ายกว่านั้น คือ สูญเสียมิตรภาพในอนาคตที่มีกับเพื่อนคนนั้นไปจนหมดสิ้น และสุดท้ายคุณก็จะไม่เหลือใครที่จริงใจไว้คอยให้กำลังใจอีกต่อไป มีเงินแต่ไม่มีคนจริงใจด้วยก็เท่านั้น
สำหรับบางคนที่รู้สึกว่าชีวิตนี้มีแต่อุปสรรค ทำอะไรก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ หรือเกือบจะประสบความสำเร็จแต่ก็มีอะไรมาขัดลาภทุกที อยากจะลองให้นั่งคิดดูว่าเราเคยติดหนี้อะไรใครไว้บ้างรึเปล่า หรือครอบครัวของเราเคยไปติดหนี้อะไรใครไว้แล้วลืมชำระคืนบ้างไหม เพราะถ้ามีก็รีบชำระคืนโดยด่วน เพื่อช่วงชีวิตต่อจากนี้จะได้มีความสงบสุขและอุปสรรคในชีวิตก็จะลดน้อยลง 



"มิตรภาพระหว่างเพื่อนใช้เงินซื้อไม่ได้
แต่เงินทำลายมิตรภาพระหว่างเพื่อนได้"


บทความน่าสนใจ

บันไดขั้นแรกของความมั่งคั่ง
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/12/blog-post_26.html

จดบันทึกเพื่อให้เงินหมดช้าลง
==> http://pajareep.blogspot.com/2014/01/blog-post.html


เปลือกนอกที่หลอกตา
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/12/blog-post.html

ประกันชีวิตลดหย่อนภาษี 200,000 บาท ตอนที่ 2/2
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/12/200000-22.html

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

วิธีค้นหาตัวตนจากการเขียนคำไว้อาลัย



การค้นหาตัวตนของตนเองว่าเราชอบอะไรหรือมีความฝันที่อยากจะทำอะไรนั้นหายาก บางคนตามหามาทั้งชีวิตก็ยังไม่เจอ แต่ถ้าใครหาเจอเร็วถือว่าโชคดีเพราะจะมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่รัก การที่เราได้ทำงานที่เรารักก็เหมือนกับว่าเราไม่ได้ทำงาน แต่เราจะค้นหาตัวตนของตัวเองเจอได้อย่างไรว่าเราชอบอะไรหรือว่าฝันอยากจะทำอะไร ในบทความนี้อยากจะแชร์ไอเดียวิธีการค้นหาตัวตนที่อ่านเจอในหนังสือและประสบการณ์ส่วนตัวมาเล่าให้ฟังค่ะ

สำหรับบางคนที่กำลังตามหาความฝัน ตามหาตัวตนของตนเองว่าเราชอบอะไร ค้นหามาหลายวิธีแล้วยังไม่เจอสักที ลองดูวิธีนี้ก่อนไหมคะอาจจะเจอก็ได้ วิธีนี้เราอ่านเจอในหนังสือคิดว่าน่าจะมีประโยชน์และนำมาปรับใช้ได้จึงอยากจะแชร์ให้คนอื่นได้ลองไปใช้ เราจะเรียกวิธีนี้ว่า "การค้นหาตัวตนจากการเขียนคำไว้อาลัยให้งานศพตนเอง" เราไม่รู้ว่าคนอื่นมองเรื่องความตายเป็นอย่างไรแต่เรามองในมุมที่ว่า ณ วันหนึ่งทุกคนก็ต้องตาย ทรัพย์สมบัิติที่สร้างมาทั้งชีวิตเราไม่สามารถนำไปได้สักบาทเดียว หลงเหลือไว้แต่ความทรงจำที่ทำให้คนรุ่นหลังคิดถึงและจดจำในสิ่งที่เราทำไว้ในขณะที่มีชีวิตอยู่ โดยผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้เขียนคำไว้อาลัยให้แก่งานศพตนเองว่า "จะเป็นแพทย์และเปิดคลีนิกเหมือนพ่อ ทำให้พ่อภูมิใจ มีรายได้ที่มั่นคง ได้รับรางวัลเกียรติยศมากมาย" หลังจากเขียนไปได้สักพักก็มารู้สึกตัวว่าทุกอย่างที่เขียนไปมันไม่ใช่เพื่อความฝันของเขาเลย แต่เป็นการทำเพื่อพ่อ เพื่อคนอื่นทั้งนั้น แล้วเขาก็ขีดฆ่าทุกอย่างที่เขียน และเริ่มเขียนใหม่ตามสิ่งที่อยากทำจริงๆ สุดท้ายเขาก็ทำเพื่อตนเอง ทำเพื่อความฝันจนประสบความสำเร็จเหมือนอย่างที่เขียนไว้

ชื่อของวิธีการอาจจะฟังดูหดหู่แต่มันก็เป็นสัจธรรมของชีวิตที่เราต้องยอมรับเรื่องความตาย แต่ก่อนตายเราขอทำอะไรสักหน่อยให้สมกับที่เกิดมาเป็นคน เราลองเขียนกันนะคะ

ตัวอย่าง คำไว้อาลัยให้อภินิหารเงินออม
  • ต้องการให้หนังสือของเราสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านเริ่มต้นและเห็นความสำคัญของการวางแผนการออมเงินเพื่อความสุขระยะยาวมากกว่าความสุขสบายเพียงชั่วคราว
  • บริจาคหนังสือและอุปกรณ์การศึกษาให้โรงเรียนที่ขาดแคลน
  • เป็นวิทยากรที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนเห็นความสำคัญของการออมเงิน
ขณะนี้คิดคำไว้อาลัยได้ 3 ข้อ เริ่มต้นทำไปแล้วบ้างใน 2 ข้อแรก ส่วนข้อสุดท้ายนั้นขึ้นอยู่กับโอกาสที่จะได้รับในอนาคต แม้ว่าสิ่งที่เราคิดและเขียนเป็นหนังสือไม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนได้ แต่เราก็รู้สึกมีความสุขที่คนกลุ่มเล็กๆอ่านบทความนี้เริ่มต้นวางแผนการใช้เงิน  เราขอขอบคุณแฟนคลับคนนึงที่บอกเล่าให้เราฟังว่าอ่านบทความของเราแล้วสร้างแรงบันดาลใจอยากออมเงินมากขึ้น แค่นี้เราก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

เรารู้สึกโชคดีที่ค้นหาตัวตนของตนเองเจอว่าเราชอบทำอะไร รู้ว่าตนเองอยากทำอะไร มีความเชื่อและแรงบันดาลใจที่ทำเพื่ออะไรบนเส้นทางที่เราเลือกเอง ซึ่งตัวตนของเราสะท้อนอยู่ในบทความทั้งหมดที่เราเขียน วิธีค้นหาตัวตนของเรานั้นมาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอ มันเป็นประสบการณ์เฉียดความตาย

จุดเริ่มต้นของการค้นหาเกิดขึ้นในช่วงที่เรียนปริญญาตรีได้ไปเที่ยวกับเพื่อนที่เีรียนด้วยกันเกือบสิบคนนัดกันไปขับเจ็ทสกี เราไปเจอเพื่อนเกือบ 5 โมงเย็น ตอนนั้นอากาศก็เริ่มมืด เราก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะเล่นเพราะถ้าเย็นกว่านี้อาจจะมองอะไรไม่เห็น  เหตุการณ์อย่างกับในละคร พอคิดจะลงเล่นน้ำเท่านั้นแหละแม่ก็โทรมาบอกว่า "อย่าเล่นน้ำนะลูกเพราะพระเตือนไว้ว่าจะมีอุบัติิเหตุทางน้ำ" เพื่อความสบายใจของแม่เราจึงตอบกลับไปว่า "จ้าแม่ ไม่เล่นน้ำจ๊ะ" ฮึฮึ เตรียมตัวมาขนาดนี้จะไม่เล่นได้อย่างไร แล้วเราก็ลงไปเล่นรอบแรกก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นและคิดว่าแม่คิดมากเกินไป เราพักเหนื่อยและกินเติมพลังก่อนลงเล่นรอบสองบังเอิญว่าเพื่อนอยากนั่งไปด้วยก็เลยนั่งกันไป 3 คน(เพื่อนเป็นคนขับ) ช่วงเข้าโค้งเตรียมที่จะเลี้ยวกลับเจ๊ทสกีพลิกคว่ำเหตุจากคนเยอะเกินไป เพื่อนสองคน 2 คนกระเด็นออกไปจากเจ็ทสกีได้ แต่เราติดอยู่ใต้เบาะเจ๊ทสกีที่คว่ำนั่นแหละ

ประเด็นอยู่ที่ว่าเราว่ายน้ำไม่เป็น อาการช่วงนั้นคงไม่ต้องบอกว่ากลัวมากแค่ไหนที่คนว่ายน้ำไม่เป็นจมน้ำและกำลังหายใจไม่ออก สมองเราเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า "เรากำลังจะตายอยู่สระน้ำนี้จริงๆหรอ" คำตอบที่ดังอยู่ในหัวตอนนั้นและจำได้จนถึงตอนนี้คือ "แกจะตายไม่ได้เพราะยังไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำสักอย่าง จะมาตายง่ายๆแบบนี้ได้ยังไง" แล้วเราก็รวบรวมสติเพื่อนึกภาพว่าเราอยู่ส่วนไหนของเบาะและมุดหัวออกมา เพื่อนก็ดีใจที่หาเราเจอ พอขึ้นมาข้างบนเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนฟังก็ขำๆได้เพราะรอดมาได้ละนิ แต่ตอนจมน้ำขอสารภาพว่ามันไม่ขำเลยจริงๆ ทำให้เราคิดว่าพระทำนายแม่นหรือเราไม่ระวังตัวกันแน่จึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

จากเรื่องนี้ก็ทำให้แนวความคิดของเราในการเลือกทางเดินของชีวิตเปลี่ยนไป จากสิ่งที่แม่เลือกให้กลายเป็นเส้นทางที่เราเลือกเอง คำแนะนำของแม่ก่อนที่เราจะเลือกเส้นทางเดินของตัวเอง(ขอบคุณที่น้องชายช่วยแม่ทำงานอยู่ที่บ้านไม่อย่างนั้นเราคงออกมาผจญภัยนอกบ้านไมไ่ด้) เช่น
  • ทำงานเป็นข้าราชการเพราะความมั่งคงของรายได้ช่วงวัยเกษียณ
  • การทำธุรกิจโต๊ะจีนเพื่อสืบทอดกิจการของแม่ที่ปูทางไว้แล้วเราจะได้ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ 
  • ทำอาชีพค้าขายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เมลามีนของบริษัทศรีไทยซุปเปอร์แวร์เพราะแม่ทำงานมา 25 ปี ก็มีฐานลูกค้าไว้แล้ว เราก็เข้าไปทำงานต่อ
ตัวเลือกที่มีเราสามารถทำได้เพราะเป็นงานที่ทำมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ดูเหมือนว่าชีวิตไม่ค่อยมีรสชาติและเราไม่อยากตายทั้งเป็นกับงานที่เราไม่ชอบ จึงตัดสินใจมาผจญภัยในเมืองกรุงเพื่อพิสูจน์ให้แม่เห็นว่าเรายืนด้วยขาของเราได้เพราะรู้ว่า "เรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร" แล้วตอนนี้สิ่งที่เราหวังไว้ค่อยๆเป็นจริงทีละอย่างแล้ว อิอิ

ถ้าเรามีความมุ่งมั่นและมีแรงบันดาลใจก็สามารถทำทุกอย่างสำเร็จได้ เหมือนกับการมีจุดมุ่งหมายในการออมเงิน ถ้าเรามีจุดเริ่มต้นเมื่อไหร่วิธีการก็จะตามมาเอง แนวความคิดเรื่องการออมเงินของแต่ละคนนั้นมีจุดเริ่มต้นแตกต่างกัน  เคยถามตนเองไหมว่า "รู้ทั้งรู้ว่าการออมเงินมีประโยชน์แล้วทำไมไม่ทำ" เราจึงเริ่มค้นหาคำตอบจากการสัมภาษณ์คนรอบข้างเพื่อจะได้รู้ว่าทำไมถึงไม่อยากออมเงิน ซึ่งคนส่วนใหญ่จะให้เหตุผล ดังนี้
  • บางคนได้เงินเดือนมาแล้วก็ไม่คิดจะเก็บ ได้มาเท่าไหร่ก็ใช้จนหมดหรือใช้เกินเงินที่หาได้ เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็หาเงินใหม่ได้ หาเงินได้เยอะก็ต้องใช้ให้คุ้มกับที่เหนื่อยมาสักหน่อยหรือมองว่าการออมเงินมันยากเกินไป ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร พฤติกรรมแบบนี้จะยังคงอยู่ต่อไปจนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้เริ่มต้นออมเงิน คือ ช่วงตกงาน ถ้าใครหางานใหม่ได้เร็วก็โชคดีไป แต่ถ้าตกงานเกินกว่า 3 เดือนจะเิริ่มกระวนกระวายละว่าจะทำอย่างไรดี เงินทองที่เก็บไว้ก็จะหมด บ้านและรถยนต์ที่ผ่อนอยู่กำลังจะถูกยึดเพราะไม่ส่งค่างวด จุดเปลี่ยนในชีวิตแบบนี้มองดูผิวเผินแล้วแย่เพราะเจอแต่ปัญหา แต่ถ้ามองดีๆแล้วถือเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้เราปรับแนวคิดการใช้ชีวิต คิดได้และเริ่มวางแผนการใช้เงิน
  • สำหรับคนที่มีพ่อแม่คอยหนุนหลัง เวลาเดือดร้อนเรื่องเงินก็ไปยืมที่พ่อกับแม่ จึงไม่คิดจะเก็บเงินเอง จุดเปลี่ยน คือ ตอนที่ตู้ ATM ของเราไม่มีให้กดนั่นแหละเราจะทำอย่างไร ไม่กลัวท่านจะลำบากตอนเกษียณกันบ้างรึ 
  • บางคนที่กำลังจะสร้างครอบครัว จากก่อนหน้านี้อยู่คนเดียวจะทำอะไรก็ได้ ไม่มีเงินเหลือเก็บ ต้องเริ่มคิดและเริ่มวางแผนมากขึ้นว่า เพราะจุดเปลี่ยนที่ทำให้เริ่มออมเงิน คือ ช่วงที่มีลูก เพราะต้องเริ่มวางแผนแล้วว่าจะต้องเก็บเงินให้ลูกเท่าไหร่ ค่าเรียน ค่าอาหาร และอีกสารพัดปัจจัยที่ทำให้ชีวิตครอบครัวอยู่รอด เราเชื่อว่าความรักชนะทุกสิ่งก็จริง แต่ความรักในครอบครัวเริ่มลดน้อยลงถ้าเราไม่มีเงินซื้อข้าวกิน หลายครั้งที่การทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวนั้นเกิดจากการขาดวินัยทางการเงิน ดังนั้นควรตกลงให้ดีตั้งแต่ก่อนแต่งงานว่าจะมีวิธีเก็บเงินกันอย่างไร



"ถ้าเรารู้ว่าจุดจบอยู่ที่ไหน
ก็จะรู้ว่าเราจะเริ่มต้นอย่างไร"


บทความน่าสนใจ

บันไดขั้นแรกของความมั่งคั่ง
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/12/blog-post_26.html

จดบันทึกเพื่อให้เงินหมดช้าลง
==> http://pajareep.blogspot.com/2014/01/blog-post.html

เปลือกนอกที่หลอกตา
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/12/blog-post.html

วิธียืมเงินเพื่อนที่ได้เงินชัวร์ๆ
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/11/blog-post_26.html







วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

งดเหล้า เลิกบุหรี่ สุขภาพดีและมีเงินออม



ตอนนี้กำลังหาแรงบันดาลใจเพื่อเริ่มเขียนพ๊อกเก็ตบุ๊คเล่มใหม่ อยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้คนเราเลือกที่จะใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยปล่อยไปตามความรู้สึกหรือมุ่งมั่นเอาชนะเพื่อทำตามความฝัน คุณเชื่อไหมว่าเวลาที่เรานึกถึงอะไร สิ่งนั้นก็จะผ่านมาให้เห็นบ่อยๆ ซึ่งครั้งนี้เราก็เจอแรงบันดาลใจรูปแบบใหม่ เป็นแรงบันดาลใจจากสุดยอดจิตอาสา ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเราก็เปิดทีวีกดแต่ละช่องไปเรื่อยๆไม่รู้จะดูอะไร บังเอิญเปิดมาเจอช่อง NBT (ช่อง 11 เดิม)และเห็นรายการปฏิบัติการข่าวดีกำลังนำเสนอเรื่อง ยมทูตต่อชีวิต โดยลุงพล บุญสาร ที่แต่งตัวเป็นยมทูตรณรงค์งดดื่มเหล้า เรื่องราวที่เราสนใจอยู่ตรงที่ว่า "ลุงพลทำไปเพื่ออะไร" (ภาพคุณลุงและวีดีโอของรายการจะอยู่ในส่วนด้านล่างของบล็อกนี้ค่ะ)

ลุงพลอายุ 70 ปี เป็นนักดื่มเหล้ามาเกือบ 30 ปี จนกระทั่งปี 2548 เข้าโครงการงดเหล้าเข้าพรรษากับ สสส. จนเลิกเหล้าได้อย่างเด็ดขาดในปี 2549 (เก่งจังปีเดียวเลิกได้) ลุงพลแต่งตัวเป็นยมทูตรณรงค์งดเหล้ามาแล้ว 6 ปี ทุกเช้าจะออกจากบ้านพร้อมกับมอไซด์คู่กายอายุ 20 ปีไปแจกสติ๊กเกอร์ในชุมชนให้คนงดดื่มเหล้า ถ้าวันไหนเจอเด็กๆก็จะสอนไปด้วยว่าการดื่มเหล้ามันไม่ดีอย่างไร ถ้าไม่อยากให้ยมทูตนำตัวพ่อกับแม่(ที่ดื่มเหล้า) ไปก็ต้องบอกให้เลิกเหล้า การรณรงค์นี้ลุงไม่ได้รับค่าตอบแทนเป็นตัวเงินแต่เป็นความรู้สึกดีที่ทำให้คนเลิกดื่มเหล้า หรือแค่ดื่มลดลงได้ลุงก็ดีใจแล้ว

คุณลุงมีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่อยากให้คนในชุมชนงดดื่มเหล้า จะทำไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดแรงเดิน (สุดยอดจิตอาสาจริงๆ) มาถึงตรงนี้อยากทราบแล้วใช่ไหมค่ะว่าคุณลุงมีรายได้เท่าไหร่ถึงมีจิตอาสาได้ขนาดนี้ รายได้ลุงมาจากการเป็น อสม. 600 บาทกับเงินของผู้สูงอายุ 700 บาท สรุปรวมแล้วเดือนละ 1,300 บาท!! (แม้เงินไม่เยอะแต่ใจคุณลุงหล่อมากค่ะ) ค่าใช้จ่ายจะมีแต่เรื่องเสื้อผ้าที่ต้องซ่อมชุดยมทูตเพื่อใช้ในการรณรงค์ ค่าอาหารก็กินไม่เยอะส่วนใหญ่เป็นผักริมรั้ว แม้คุณลุงไม่ได้ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง แต่เป็นคุณลุงมั่งคั่งและร่ำรวยความสุขจากการให้โดยแท้จริงซึ่งแม้แต่เงินก็ซื้อความสุขแบบคุณลุงไม่ได้ ผลของการทุ่มเทกับการเป็นจิตอาสารณรงค์เลิกเหล้านี้ทำให้คนในชุมชนบางส่วนสามารถเลิกเหล้าได้ มีเงินเหลือเก็บ มีเงินซื้อเครื่องมือในการประกอบอาชีพ ประหนึ่งว่าเหมือนได้ชีวิตใหม่กลับมา

คำพูดที่ใช้รณรงค์ก็มีหลายรูปแบบ เช่น
  • ถ้าเลิกเหล้า 3 เดือนจะได้โทรทัศน์ 1 เครื่อง
  • ถ้าเลิกเหล้า 9 เดือนจะซื้อมอไซด์ได้ 1 คัน
  • เหล้าคือปีศาจทำลายชีวิตผู้ดื่มได้ทุกรูปแบบ ถ้าไม่หยุดวันนี้คุณจะเป็นผีในวันหน้า
  • เงินพ่อลงขวดเหล้าแล้วใครจะซื้อข้าวให้หนูกิน
  • โตมาด้วยน้ำนม อย่าเสียคนด้วยน้ำเมา
  • เมาแล้วขับกลับไม่ถึงบ้าน ง่วงแล้วขับหลับไม่ตื่น เมาแล้วซิ่งกลิ้งกลางถนน
  • ชีิวิตใหม่ไร้แอลกอฮอล์
สำหรับบางคนมองว่าการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่นั้นทำไปเพื่อเข้าสังคม อีกทั้งเป็นรายจ่ายที่มาจากเงินของตน คนอื่นไม่ควรมายุ่งเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เงิน แต่มันอยู่ที่จิตสำนึกมากกว่า ขณะที่คุณเมาแลัวขับรถและบังเอิญประสบอุบัติเหตุชนผู้อื่นเสียชีวิต แบบนี้ก็เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น หรือการสูบบุหรี่ที่คุณสูบคนเดียวแต่ควันมันลอยไปเข้าจมูกคนที่ไม่สูบด้วย มันคงไม่ยุติธรรมสำหรับคนไม่สูบสักเท่าไหร่ที่ต้องมาเป็นโรคทั้งที่ไม่ได้สูบเอง ถ้าเราเจอคนสูบบุหรี่ที่ป้ายรถเมล์หรือที่สาธารณะที่จิตใต้สำนึกควรรู้อยู่แล้วว่าห้ามสูบ แต่หยิบบุหรี่มาสูบหน้าตาเฉย ให้เรารีบเดินผ่านแล้วทำท่าปัดควันบุหรีหรือบีบจมูกให้เห็นกันไปเลยว่าเรารังเกียจแค่ไหน อย่างน้อยก็น่าจะกระตุกต่อมความละอายของเค้าบ้าง ซึ่งเราก็ใช้วิธีนี้เหมือนกันแต่บางครั้งเราทนไม่ได้เพราะจำเป็นต้องอยู่ตรงนั้นและเค้าก็ยืนสูบบุหรี่คุยกันอย่าสบายอารมรณ์ เราก็แค่เดินเข้าไปบอกอย่างสุภาพว่า "รบกวนไปสูบบุหรี่ที่อื่น เพราะตรงนี้ต้องทำงานค่ะ" ณ จุดนี้เค้าก็รีบทิ้งก้นบุหรี่เดินออกไปทันที อย่าได้กลัวเพราะเป็นสิทธิ์ที่เราเลือกได้ที่จะไม่สูดควันบุหรี่เข้าไป

ความคิดที่เข้าสังคมโดยใช้เหล้าและบุหรี่นั้นสามารถมีได้ เช่น ถ้าเราไม่ทำแบบนั้นเพื่อนเลิกคบ (แต่ถ้าเมาจนเงินหมดเพื่อนจะยังคบอยู่ไหม) ควรจำกัดตนเองให้อยู่ในความพอดี อย่ารักสังคมแบบนั้นมากเกินไปจนกระทั่งทำให้ร่างกายของเราเสียสุขภาพ เพราะเมื่อเราป่วยจนต้องเข้ารักษาโรคตับแข็ง มะเร็งปอด หรือโรคอื่นๆ เพื่อนในสังคมที่เรานัดกินเหล้ากันทุกวันศุกร์หรือนัดสูบบุหรี่เผาปอดที่ลานจอดรถก็ไม่ได้ร่วมเจ็บปวดและจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับเราด้วย เงินของเราทั้งนั้นที่จ่ายเพื่อรักษาตนเอง นอกจากเสียสุขภาพแล้วเงินออมยังไม่เหลืออีกด้วย


ถ้าเปลี่ยนจากเงินลงขวดเหล้าหรือเงินที่ซื้อบุหรี่เผาปอดเป็นเงินออมจะได้เท่าไหร่ ปกติคุณใช้เงินกับสิ่งเหล่านี้ครั้งละไม่มาก เพราะทะยอยจ่าย แต่ถ้าเราลองจดเล่นๆดูซิว่าแต่ละครั้งเท่าไหร่ แล้วรวมเป็นค่าใช้จ่ายต่อเดือนและต่อปีเป็นเท่าไหร่ นั่นแหละ....เงินออมของเรา

  ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 19 ก.ย. 56 (http://bit.ly/18cvaH1)

จากข้อมูลข้างต้นเราลองคำนวณคร่าวๆว่า ถ้าปีนึงเราดื่มสัปดาห์ละครั้งจะเสียเงินออมของเราลงขวดไปแล้วเท่าไหร่ เช่น สมมติสุราราคาขวดละ 240 บาท คูณ 52 สัปดาห์จะเป็นจำนวนเงิน 12,480 บาท ไม่น่าเชื่อว่าเงินจำนวนแค่ 12,480 บาทจะทำให้เราเป็นโรคมะเร็งตับที่ต้องใช้เงินรักษาึถึงหลายแสนบาท(หรือมากกว่านั้น)ในอนาคต เราลองคิดโดยที่ไม่ต้องใช้รอยหยักในสมองมากมาย

คำถามสั้นๆว่า "มันคุ้มไหม"

===============================================================

รายการดีๆที่อยากให้ติดตามใน Facebook


หน้าตาของลุงพลก่อนและหลังที่แต่งกายเป็นชุดยมทูต ซึ่งจะมีคำพูดประจำว่า "เหล้าคือปีศาจทำลายชีวิตผู้ดื่มได้ทุกรูปแบบ ถ้าไม่หยุดวันนี้คุณจะเป็นผีในวันหน้า" โดยจะแต่งชุดยมทูตไปแจกสติ๊กเกอร์ในชุมชน เช่น ตลาด บ้าน ร้านค้า



ข้อความบนสติ๊กเกอร์นำไปแจกคนในชุมชนด้วยมอไซด์คู่ชีพที่ตกแต่งด้วยสติ๊กเกอร์รอบคัน จากในภาพก็จะเห็นสภาพบ้านของคุณลุงที่มีรั้วเป็นสังกะสี


ข้อความชักจูงให้คนเลิกเหล้าว่าจะเหลือเงินไปทำอย่างอื่น(ที่ไม่ใช่เย็นมาก็ลงขวด) มีหลายบ้านที่ทำสำเร็จแล้วมีชีวิตใหม่ ครอบครัวรักกันมากขึ้น มีคนคุยด้วยมากขึ้น หรือบางบ้านก็เก็บเงินซื้อรถไถใช้ในการประกอบอาชีพ ทำให้ครอบครัวมีรายได้มากขึ้น



เราอยากให้คุณดูแรงบันดาลใจของลุงพลให้จบ เพื่อจะได้ตอบคำถามว่า "เราเกิดมาทำไม"