วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อ่านหนังสือสร้างโลก


ร่างกายของเราต้องการสารอาหารให้ครบ 5 หมู่จะได้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย ก็เหมือนกับกลยุทธ์ในการดำเนินชีวิตที่ต้องเติมด้วยการอ่านหนังสือ เพราะการอ่านเป็นสารอาหารสำคัญที่ทำให้สมองของเราแข็งแรง ไม่เป็นโรคขาดสารอาหารความรู้

ในโลกยุคอินเตอร์เน็ตแบบนี้ก็มีหลายหลายเรื่องราวให้เราอ่าน มันขึ้นอยู่กับว่าเราอ่านอะไร อ่านไปแล้วสามารถนำไปพัฒนาความคิดหรือพัฒนาตนเองได้อย่างไร เพราะเราคงมีเวลาไม่มากพอที่จะอ่านทุกอย่าง  สิ่งที่เราจะทำได้ คือ การเลือกอ่าน ก็คล้ายๆกับการเลือกทานอาหาร ถ้าเราทานแต่ Junk food ร่างกายของเราก็จะอุดมไปด้วยโรค เช่น ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคตับ โรคหัวใจและอีกสารพัดโรคร้ายที่ตามมาจากการทานอาหาร Junk food ดังนั้น ควรเลือกทานอาหารที่ทำให้ร่างกายปลอดโรค

วันนี้มีอาหารสมองมาแนะนำค่ะ


แค่เราอ่านคำเชิญชวนหลังปกก็ไม่ลังเลที่จะหยิบมาอ่าน ตอนอ่านหน้าปกผ่านๆก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่มาสะดุดตาที่ชื่อคนแปล ซึ่งหนึ่งในนั้นมี คุณพูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ รู้สึกคุ้นๆกับชื่อนี้มาก พอกลับมาบ้านก็ลองไปดูในตู้หนังสือปรากฏว่ามีหนังสือแปลของคุณพูนลาภทั้งหมด 6 เล่ม เยอะเหมือนกันนะเนี้ย สำนักพิมพ์นี้แปลแล้วอ่านเข้าใจง่ายและเป็นเรื่องที่น่าสนใจ จึงอยากจะแนะนำให้ลองติดตามเพิ่มสารอาหารความรู้กันค่ะ

มาดูกันว่าหลังปกหนังสือเล่มนี้เขียนว่าอะไรบ้าง (น่าสนใจมากๆ)
  • ทำไมเด็กอัจฉริยะจำนวนมากที่มีไอคิวสูงกว่าไอน์สไตน์ถึงเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีชีวิตล้มเหลว
  • บิว เกตส์ เหมือนกับวงดนตรีเดอะ บี เทิลส์ ตรงไหน
  • ทำไมนักฟุตบอลเยาวชนทีมชาติเช็กมากกว่าร้อยละ 70 ถึงเกิดในเดือนมกราคมถึงมีนาคมเท่านั้น
  • เพราะอะไรบรรดานักกฎหมายชั้นนำในนิวยอร์กส่วนใหญ่ถึงมาจากครอบครัวที่ทำงานตับเย็บเสื้อผ้า
  • ทำไมบางสายการบินถึงประสบโศกนาฏกรรมเครื่องบินตกซ้ำซากและอะไรทำให้สายการบินเหล่านั้นพลิกกลับมาเป็นหนึ่งในสายการบินที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดในโลก
  • การมาจากครอบครัวที่ทำนาข้าวทำให้นักเรียนจีนเรียนเลขเก่งกว่านักเรียนตะวันตกได้อย่างไร
หลังจากที่อ่านแล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เล่มนี้ทำให้เราคิดได้ว่าคนเราไม่มีพรสวรรค์ติดตัวมาแต่กำเนิด คนที่เราคิดว่ามีพรสวรรค์นั้นล้วนมาจากการฝึกฝนและความอดทนที่มากกว่าคนอื่น โดยมีโอกาสเป็นตัวขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จ ซึ่งคนเหล่านั้นใช้ระยะเวลาเพื่อพัฒนาตนเองและฝึกฝนทักษะไม่ต่ำกว่า 10,000 ชั่วโมง จึงจะประสบความสำเร็จ ก็เหมือนกับเพชรที่ผ่านแรงอัดมาหลายพันปีกว่าที่จะเป็นอัญมณีที่สวยงามและทรงคุณค่า

แต่ถ้าบางคนต้องการสูตรลัดความสำเร็จที่อยากประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เช่น ร่ำรวยเร็ว ก้าวหน้าในอาชีพการงานอย่างรวดเร็ว มันมีสูตรความสำเร็จนั้นจริงๆค่ะ แต่มันจะเป็นเพียงภาพลวงตาที่สวยงาม ฉาบฉวยและไม่ยั่งยืน ดังนั้น ควรก้าวไปช้าๆแต่มั่นคงดีกว่า

เราเน้นคำว่า "โอกาส" ก็เพราะว่ามันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราแสดงความสามารถออกมา โดยขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำอย่างไรกับโอกาส
  • นั่งรอโอกาสอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลย
  • ทิ้งโอกาสที่เข้ามาเพราะคิดว่าเราทำไม่ได้
  • เมื่อได้รับโอกาสแล้วยังไม่มีความสามารถเพราะยังพัฒนาตนเองไม่เพียงพอ
หรือว่า......
  • วิ่งเข้าหาโอกาสโดยหาพื้นที่แสดงความสามารถ
  • พัฒนาตนเองเพื่อรอโอกาส
  • รับโอกาสที่ผ่านเข้ามาแล้วทำมันได้ดีที่สุด
เนื้อหาส่วนนึงในเล่มนี้(หน้า 66) กล่าวถึงบิล เกตส์ช่วงที่ลาออกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเพื่อไปตั้งบริษัทซอฟต์แวร์ของตนเองแล้วได้ใช้เวลาในการเขียนโปรแกรมโดยไม่หยุดพักเป็นระยะเวลา 7 ปีติดต่อกัน ซึ่งในปี 1968 เป็นยุคที่ 3 ของวิวัฒนาการของระบบคอมพิวเตอร์(ปัจจุบันเป็นยุคที่ 5) ที่มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ได้ โดยที่บิล เกตส์ก็ได้รับโอกาสนั้นและฝึกฝนทักษะจนเกิดความชำนาญ ในยุคที่ตลาดคอมพิวเตอร์ต้องการนักพัฒนาซอฟต์แวร์แต่บุคคลากรมีจำกัด ซึ่งคนที่สามารถตอบโจทย์ของตลาดได้จึงมีรายได้มหาศาล

ดังนั้นเราอย่ารับรู้เพียงแง่มุมที่ว่าบิล เกตส์เรียนไม่จบปริญญาแล้วยังประสบความสำเร็จเป็นมหาเศรษฐี (เพราะบางคนนำมาเป็นข้ออ้างไม่อยากเรียน) แต่ต้องดูการเดินทางของบิล เกตส์ว่าก่อนที่เค้าจะมาถึงจุดนั้นได้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ซึ่งต้องใช้ความอดทนและการฝึกฝนอย่างหนักกว่าที่จะประสบความสำเร็จ


"โอกาสในยุคดิจิตอลอยู่ในทุกพื้นที่ที่มีอินเตอร์เน็ต"

บทความน่าสนใจ

บทเรียนจากแบบฝึกหัดเขียน
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/10/blog-post_6.html






วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ลูกจะมีวินัยทางการเงินหรือไม่นั้นต้องเริ่มจากพ่อกับแม่


บัตรคอนเสริ์ตใบละ 7,000 บาท!!

สำหรับบางคนที่ทำงานมีรายได้บวกกับความชื่นชอบในตัวนักร้องก็มองว่าบัตรแถวหน้าราคานี้สามารถจ่ายได้แต่สำหรับเด็ก ม.3 ที่ขอเงินผู้ปกครองไปดูหละมันเหมาะสมหรือไม่??

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเราก็ไปซื้อของกินแถวที่ทำงานตามปกติ แต่วันนั้นพอมีเวลาก็เลยยืนคุยกับแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวลุยสวน พี่เค้าเป็นคนอารมณ์ดี คุยสนุก ตอนนั้นพี่เค้ากำลังเล่าวิธีสอนลูกให้รู้จักการเก็บเงินโดยการแบ่งเงินเป็นสี่ส่วนให้เพื่อนร้านข้างๆฟัง คือ

  • ส่วนที่ 1 เงินที่ให้พ่อกับแม่ 
  • ส่วนที่ 2 เงินออม
  • ส่วนที่ 3 เงินค่าใช้จ่ายส่วนตัว เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทางไปโรงเรียน
  • ส่วนที่ 4 เงินที่จะไปใช้จ่ายอื่นๆ เช่น สิ่งของที่อยากได้

พี่เค้าก็สอนลูกเรื่องเงินดีนะ สอนให้ลูกรู้จักใช้เงิน พอคุยกันไปสักพักเค้าก็เล่าเรื่องลูกสาววัย 15 ขอเงิน 7,000 บาทไปดูคอนเสริ์ตนักร้องเกาหลี คนเป็นแม่ก็อยากจะให้รางวัลแก่ลูกสาวก็อยากจะให้ไปดู เราเข้าใจว่าสำหรับบางคนที่ชื่นชอบและคลั่งไคล้ดารามีเท่าไหร่ก็จ่ายได้ เพราะเราก็เป็นเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นแก้วน้ำ ปลอกหมอน ของที่ระลึกก็มีเก็บไว้ แต่ถ้าเรามานั่งนึกถึงความเหมาะสมกับสถานะที่ยังต้องขอเงินผู้ปกครองเรียนหนังสือ เราคิดว่ามันเป็นรางวัลที่มากเกินไป

พี่เค้าบอกว่า "เราไม่มีลูกก็ไม่รู้หรอกว่าคนเป็นพ่อแม่เค้ารู้สึกยังไง เดี๋ยวลูกจะคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่อง เด็กสมัยนี้ทำอะไรก็ทำตามเพื่อน"

เราก็อยากจะบอกพี่เค้ากลับไปเหมือนกันแหละว่า "ถ้าเรามีลูกคงไม่สอนลูกแบบนี้" ควรฝึกให้เด็กลองหัดทำงานเพื่อจะได้รู้ว่ากว่าแม่ขายก๋วยเตี๋ยวลุยสวนแล้วได้เงินมาเนี้ยมันเหนื่อยขนาดไหน ไม่จำเป็นต้องทำตามเพื่อนไปซะทุกอย่างก็ได้และถ้าคุยกันด้วยเหตุผลลูกก็คงเข้าใจว่าทำไมถึงให้เงินไปดูคอนเสริ์ตไม่ได้ เช่น เงินนั้นเป็นค่าเทอมในภาคเรียนต่อไป เป็นค่าเรียนพิเศษ เป็นค่าใช้จ่ายภายในบ้าน เป็นต้น โดยอาจจะทำให้เด็กเข้าใจว่าถ้านำเงินนั้นไปดูคอนเสริ์ตแล้วก็อาจจะไม่มีเงินค่าเทอมเรียนต่อ ซึ่งเด็กอายุ 15 ก็น่าจะเข้าใจได้ถึงผลเสียที่ตามมา ถ้าเราไปสั่งห้ามดูเด็กก็อาจจะยิ่งต่อต้านแล้วดื้อรั้นร้องขอที่จะไปดูให้ได้เพราะไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมถึงสั่งห้าม ซึ่งพ่อแม่ก็อาจจะใจอ่อนตามใจลูก การใช้เหตุผลเล่าถึงผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

การตามใจลูกทางด้านการเงินมากเกินไป นอกจากจะทำให้ผู้ปกครองขาดวินัยทางการเงินแล้วยังเป็นการปลูกฝั่งนิสัยการใช้เงินแบบผิดๆให้กับลูกอีกด้วย อย่าลืมว่าถ้าเด็กจดจำวิธีการได้เงินมาง่ายๆและใช้เงินแบบง่ายๆจนแก้ไขนิสัยไม่ได้ คนที่เหนื่อยก็จะเป็นผู้ปกครองนั่นเองที่จะต้องหาเงินให้มากขึ้นเพื่อให้ลูกใช้จ่าย

บทวิจัยชิ้นหนึ่งจำไม่ได้ว่าเป็นของสถาบันไหน เราได้ยินขณะนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นของ Voice TV เป็นเรื่องของผู้ปกครองต้องเหนื่อยกับการบังคับให้เด็กเล็กๆนั้นกินผักโดยการหาสาระพัดวิธีมาหลอกล่อ นักวิจัยสรุปว่าการบอกเหตุผลว่าทำไมต้องกินผัก กินไปเพื่ออะไรและกินแล้วดีอย่างไรเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้เด็กๆกินผักโดยที่ผู้ปกครองต้องบังคับให้เหนื่อย เพราะเด็กจะกินโดยไม่มีข้อแม้ว่ามันขมหรือไม่อร่อย

การที่ผู้ใหญ่ใช้เหตุผลบอกสาเหตุและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ เป็นวิธีการที่ดีกว่าการบังคับหรือสั่งห้ามโดยไม่รู้ที่มาที่ไปของคำสั่งว่าทำไปเพื่ออะไร อย่าคิดไปเองว่าอธิบายไปทำไมเด็กไม่รู้เรื่องหรอก เด็กสมัยนี้เก่งขึ้นมาก พูดแป๊บเดียวเข้าใจเร็วกว่าผู้ใหญ่ประสบการณ์สูงบางคนเสียอีก


บทความน่าสนใจ

บันไดขั้นแรกของความมั่งคั่ง
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/12/blog-post_26.html

จดบันทึกเพื่อให้เงินหมดช้าลง
==> http://pajareep.blogspot.com/2014/01/blog-post.html

เปลือกนอกที่หลอกตา
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/12/blog-post.html

บทเรียนจากแบบฝึกหัดเขียน
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/10/blog-post_6.html

ความสามารถของเรามีมูลค่าเท่าไหร่??
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/10/blog-post.html

ประกันชีวิตหักลดหย่อนภาษี 200,000 บาท ตอนที่ 1/2
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/09/200000-12.html

อ่านหนังสือสร้างโลก
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/08/blog-post_20.html

แนะนำหนังสือ "SOROS" (โซรอส)
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/08/soros.html