วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

วิธีสร้างเกราะป้องกันลัทธิวัตถุนิยม

วิวัฒนาการในสิ่งมีชีวิตต่างๆเกิดมาจากการเรียนรู้และการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด โดยมีหลักฐานเป็นซากดึกดำบรรพ์ต่างๆที่ถูกฝังอยู่ใต้พื้นโลก สิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้ก็จะอยู่รอดถึงปัจจุบัน (ข้อมูลเพิ่มเติม : เรื่อง ทำไมต้องศึกษาวิวัฒนาการ http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=75870 ) คุณอาจจะสงสัยแล้วว่าวิวัฒนาการมันเกี่ยวอะไรกับการออมเงิน??

สังคมมนุษย์เปลี่ยนไปในหลากหลายรูปแบบ ลองนึกภาพการดำเนินชีวิตของตัวคุณเมื่อตอนอายุ 7 ขวบเปรียบเทียบกับเด็ก 7 ขวบสมัยปัจจุบันว่าการดำเนินชีวิตแตกต่างกันอย่างไรเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีตัวอย่างคลิปฮาๆ(แต่อนาคตอาจจะฮาไม่ออก) ที่เด็กคุยกับไอแพดซึ่งมีแอพพลิเคชั่นสำหรับเด็กอันหนึ่งที่ชื่อว่า "ทอคกิ้ง ทอม" (Talking Tom) ที่มีแมวคอยเงี่ยหูฟังว่าเราพูดอะไร แล้วเหมียวก็จะพูดตามในอีกเสียงหนึ่ง


หมอเตือนเด็กเล่น"สมาร์ทโฟน-แท็บเล็ต" เสี่ยงเป็นโรคสายตาสั้นเทียม

เมื่อวันที่ 12 มีนาคม นพ.ศักดิ์ชัย วงศ์กิตติรักษ์ ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน ซึ่งมีหน้าจอระบบสัมผัส และมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ รวมไปถึงแท็บเล็ต ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์แบบพกพา และมีหน้าจอระบบสัมผัสที่มีขนาดใหญ่กว่าสมาร์ทโฟน กำลังได้รับความนิยมมากในประชาชนทุกวัย หากดูในส่วนของจอทั้งสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตนั้นจะมีแสงสว่างในลักษณะเดียวกับจอคอมพิวเตอร์ ดังนั้น หากหน้าจอมีความสว่างเกินไป และไปจ้องนานๆ จะทำให้รูม่านตาหดตัว จนส่งผลให้เกิดอาการเมื่อยตามากกว่าปกติ รวมไปถึงจะทำให้ตาแห้ง ระคายเคืองกระจกตาได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กที่อายุต่ำกว่า 13 ปี ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วเด็กจะมีความสามารถในการเพ่งตามากกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้น เมื่อเด็กเพ่งจอโทรศัพท์สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตเป็นเวลานาน เพื่อเล่นเกม จะส่งผลให้เกิดอาการสายตาสั้นเทียม กล่าวคือ เด็กจะมีอาการเหมือนคนสายตาสั้น มองเห็นอะไรไม่ชัด แต่อาการเหล่านี้จะหายไปเองหากได้พักสายตา

          นพ.ศักดิ์ชัยกล่าวอีกว่า พ่อแม่บางคนไม่รู้ว่าเด็กมีอาการสายตาสั้นเทียม พอเด็กบอกว่ามองเห็นอะไรไม่ชัดก็พาไปตัดแว่นสายตาใส่ทันที แต่พออาการสายตาสั้นเทียมของเด็กหายเป็นปกติก็ไม่จำเป็นต้องใส่แว่น ดังนั้น หากเด็กเกิดอาการมองเห็นอะไรไม่ชัดหลังจากเล่นเกมในแท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานให้พาไปพบจักษุแพทย์ก่อน

          ทั้งนี้ ในปัจจุบันพบเด็กมีอาการดังกล่าวเยอะมาก และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น โดยจากการเก็บข้อมูลจากแผนกตา สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) เมื่อปี 2554 พบว่าเด็กที่เข้ามารับการรักษาในแผนกนี้มีประมาณปีละ 30,000 คน โดยร้อยละ 20-30 มีปัญหาเรื่องสายตา และในจำนวนนี้พบว่ามีภาวะของอาการสายตาสั้นเทียมอยู่ประมาณ 1 ใน 3 และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการเกิดสายตาสั้นเทียมนี้จะสามารถหายเป็นปกติได้โดยให้เด็กหยุดเล่นเกม เพื่อลดการเพ่งสายตา 1 วัน ก็จะหายเป็นปกติ แต่หากหยุดเล่นเกมแล้วอาการยังไม่หายให้รีบมาพบจักษุแพทย์ทันที

ขอขอบคุณแหล่งข่าว » เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ 
[มีนาคม อังคาร 13,พ.ศ 2555 15:19:02] 

จากข่าวข้างต้นก็ทำให้พอจะคาดการณ์ได้ว่าถ้าไม่ปรับสมดุลให้กับการใช้เทคโนโลยีอาจจะเดือดร้อนถึงเงินในกระเป๋าของผู้ปกครองได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การใช้่จ่ายทางด้านอุปกรณ์เทคโนโลยี คุณภาพชีวิตของเด็กๆเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ค่าใช้จ่ายสำหรับของเล่นเด็ก ฯลฯ อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวจากการที่สังเกตคนรอบข้างที่มีลูกในวัยอนุบาล ผู้ปกครองก็จะต้องไปทำงานเพื่อหาเงินมาใช้ในการดำรงชีวิตในครอบครัว ดังนั้นเวลาเลี้ยงดูลูกอาจจะน้อยลง บางคนอาจจะเห็นว่าการให้ลูกอยู่กับแท็บเล็ตแล้วจะทำให้ตนเองมีเวลาไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูลูกมากขึ้น เคยคิดไหมว่าคุณอาจจะมีต้นทุนในการเลี้ยงดูลูกที่แพงขึ้นเพราะต้องหาเงินมากขึ้นด้วยเพื่อซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยีราคาแพงและเปลี่ยนแปลงบ่อยๆเหล่านั้นมาดูแลลูกแทนคุณ อีกทั้งเป็นการสร้างค่านิยมที่ฉาบฉวยให้กับเด็กอย่างที่คุณคิดไม่ถึง

ที่มา: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ 30 ส.ค. 55

วิธีสร้างเกราะป้องกันพฤติกรรมของลูกที่จะส่งผลต่อเงินออมของผู้ปกครอง
- สอนให้เด็กรู้จักคำว่า "ไม่มี" ว่ามันคืออะไร
นิยามความรักลูกของแต่ละคนแตกต่างกันบางคนรักลูกแบบที่ว่าลูกอยากได้อะไรพ่อกับแม่ก็จัดให้ทุกอย่าง ถ้าพ่อแม่มีฐานะดีก็ไม่ลำบากในการซื้อ แต่ถ้าเกิดไม่มีหละจะทำยังไง ต้องไปก่อหนี้เพื่อซื้อทุกอย่างให้ลูกมันถูกต้องหรือไม่ เมื่อลูกใช้ไม้ตายโดยการร้องไห้และลงไปแดดิ้นกลับพื้น หัวใจของพ่อแม่สงสารลูกแทบขาดใจก็ต้องรีบไปซื้อของที่ลูกต้องการในทันที ถ้าลูกทำพฤติกรรมแบบนี้ไปจนโตแล้วพ่อแม่จะมีเงินเหลือเก็บไหมเนี้ย ต้องสอนลูกรู้จักเหตุผลในการเลือกซื้อของและให้รู้จักคำว่า "ไม่มี" ซะบ้างผู้ปกครองจะได้ไม่ลำบากเงินในกระเป๋า แม่ของผู้เขียนชอบสอนโดยการที่ให้เจอกับสถานการณ์จริงๆ ซึ่งวิธีนี้ก็น่าจะมีประโยชน์ก็นำมาแชร์ค่ะ 

ทุกวันเกิดก็จะไปเลี้ยงอาหารเด็กในโรงเรียนที่ต่างจังหวัด สองข้างทางถนนก่อนเข้าโรงเรียนถูกปูด้วยต้นข้าวสีเขียวอ่อนผืนใหญ่ โรงเรียนนี้มีตั้งแต่อนุบาลจนถึงประถมศึกษาปีที่ 6 รวมนักเรียนทั้งโรงเรียนมี 68 คน อาคารเรียนชั้นเดียวมี 2 อาคาร แต่ละชั้นเรียนถูกกั้นโดยตู้ไม้ ตอนกลางวันจะแบ่งกันพักเพราะห้องรับประทานอาหารมีขนาดเล็ก โดยที่เด็กอนุบาลพักทานข้าวก่อน ตามด้วยเด็กในระดับประถม ช่วงระหว่างรอเด็กประถมทานข้าวก็เป็นเวลาดูทีวีของเด็กอนุบาล โดยที่ครูจะเปิดช่องสารคดีให้ดู บางคนไม่ดูก็นั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดเล็กๆซึ่งอยู่ข้างๆกัน เด็กอ่านหนังสือเสียงดังจริงๆ นึกแล้วสงสารกลุ่มเด็กที่นั่งดูทีวีว่าจะดูรู้เรื่องไหม พอเด็กประถมทานข้าวเสร็จก็ถึงเวลาที่เด็กอนุบาลจะต้องนอนกลางวันโดยมีพี่ๆดูแลน้องๆให้สวดมนต์และนั่งสมาธิก่อนนอน จากนั้นพี่ๆก็ค่อยเข้าห้องเรียน การเีรียนทางไกลผ่านทีวีกับโรงเรียนวังไกลกังวลมีประโยชน์มากสำหรับโรงเรียนที่ขาดแคลนครูผู้สอนแบบนี้ แม้ว่าเป็นโรงเรียนต่างจังหวัด แต่มารยาทของเด็กนักเรียนดีกว่าโรงเรียนค่าเทอมเป็นหมื่นซะอีก เด็กในเมืองบางคนชอบคิดเปรียบเทียบตนเองกับเพื่อน ถ้าเพื่อนมีอะไรเราก็ต้องมีด้วยไม่งั้นเข้ากลุ่มไม่ได้ จนถึงขั้นที่ว่าจะใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้กันเลยทีเดียว การให้เด็กไปดูแลหรือเห็นสภาพกลุ่มคนที่ด้อยโอกาสกว่าตนเป็นการสร้างประสบการณ์ที่เพิ่มมุมมองให้เด็กเปรียบเทียบกับคนที่ไม่มีบ้างว่าเค้าใช้ชีวิตกันได้อย่างไรและตนเองมีโอกาสดีกว่าคนอื่นมากแค่ไหน ควรให้เด็กได้รับประสบการณ์ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง นอกจากเด็กจะได้รู้จักคำว่า "ไม่มี" แล้วก็อาจจะได้รู้จักคำว่า "การให้" เข้ามาด้วย เป็นการสร้างเกราะป้องกันทางจิตใจให้เด็กเพื่อรองรับสภาพสังคมที่มองเห็นแต่ความสำคัญของเปลือกนอกและการสร้างภาพลักษณ์โดยลัทธิวัตถุนิยม 

-ขัดเกลาจิตใจโดยการเข้าปฏิบัติธรรม
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผู้เขียนมีโอกาสได้เข้าไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ซึ่งห่างจากการไปครั้งแรกเป็นสิบปี วัดเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก คนมาปฏิบัติธรรมมากขึ้น ภาพที่เห็นก็จะมีวัยรุ่นและพ่อแม่ที่พาลูกมาปฏิบัติธรรม การให้ธรรมะก็เหมือนให้ปุ๋ยบำรุงจิตใจให้เข้าใจสังคมมากขึ้นว่า "แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่แน่นอน แต่ความตายนั้นแน่นอนเสมอ" ดังนั้นทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องตายเป็นความจริงที่หนีไม่พ้น  แล้วสิ่งที่เราฝากไว้บนโลกใบนี้ก่อนตายหละเป็นอะไร คำชื่นชมหรือคำสาปแช่ง?? เราไม่จำเป็นต้องสร้างความดีและต้องประกาศให้ทั้งโลกได้รับรู้ ว่าฉันทำความดีนะช่วยจดจำฉันหน่อยหรือทำเพื่อหวังสิ่งตอบแทน เพียงแต่เรารู้สึกดีที่ได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้างก่อนตายแค่นี้มันน่าจะรู้สึกสุขใจมากกว่า การสร้างเกราะป้องกันให้กับอนาคตของชาติโดยใช้หลักการของพระพุทธศาสนาก็เป็นสิ่งล้ำค่า เพราะถ้าเด็กเข้าใจในแก่นแท้ของชีวิต การดำเนินชีวิตในอนาคตที่มีสิ่งปรุงแต่งจากกิเลสและสิ่งยั่วยุต่างๆก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทั้งนี้ไม่ใช่สร้างด้วยปาก แต่ต้องสร้างด้วยการปฏิบัติ  การสร้างประสบการณ์ให้เด็กเข้ารับฟังธรรมะและปฏิบัติธรรมดีกว่าการนั่งท่องจำเพื่อสอบ

รู้จักครอบครัวของเพื่อนแม่คนหนึ่งมีวิธีการสอนหลานได้น่ารักมาก มีวันนึงที่คุณยายก็พาหลานไปวัดแล้วต้องนั่งสมาธิ ระหว่างนั้นก็บอกให้หลานนั่งอยู่เฉยๆเพื่อรอ หลานก็นั่งอยู่นิ่งๆนั่งมองคุณยายนั่งสมาธิ ต่างกับเด็กคนอื่นที่ิวิ่งเล่นไปมา เพื่อนบ้านมาถามคุณยายว่าทำอย่างไรให้หลานเชื่อฟังและอยู่นิ่งๆได้ ซึ่งต่างกับหลานของเค้าบอกเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ซุกซนมาก แถมวิ่งไปมาสร้างความรำคาญให้แก่ผู้อื่นในขณะที่นั่งสมาธิ คุณยายก็ตอบว่าก็แค่พาหลานเข้าวัดตั้งแต่เด็กๆ สอนให้สวดมนต์ นั่งสมาธิ เช่นนี้แล้วหลานก็เป็นอย่างที่เห็น บางคนอาจจะเห็นว่าเด็กซนคือเด็กฉลาด แต่ถ้าเด็กสามารถแบ่งแยกได้ว่าเวลาไหนควรนิ่งหรือเวลาไหนควรซุกซนก็น่าจะดีกว่ามิใช่หรือ ถ้าในอนาคตมีเด็กที่รู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร มีพื้นฐานทางจิตใจแข็งแกร่งเกิดขึ้นมากสังคมในอนาคตจะเป็นอย่างไร เราต้องช่วยกันสร้างโดยเริ่มจากตัวเอง ณ ตอนนี้เลยนะค่ะ ^_^ //


"จิตใจที่อุดมไปด้วยกิเลส นำพาซึ่งการตัดสินใจที่ผิดพลาด"










ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น