วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Shopping อย่างไรไม่กระทบเงินออม??




ในความเป็นจริงแล้ว Shopping ก็มีมุมดีๆให้มองเหมือนกัน แต่ต้องอยู่ภายใต้สมมติฐานว่า "มีสติ" นะค่ะ

หรืออาจจะใช้คำว่า "เสียเงินอย่างมีสติ" ก็ได้ค่ะ โดยมีวิธีการคิดดังนี้

          1. ใช้ของจนเบื่อแล้วค่อยขาย ได้กำไรถึงสองต่อ

              การซื้อของใช้ส่วนตัวแต่ละอย่างก็เหมือนการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า 

เครื่องประดับ ฯลฯ ลองมาดูซิว่าแต่ละสัปดาห์คุณซื้อของเหล่านี้บ่อยแค่ไหน บางคนเดินเล่นในตลาด

นัดแถวที่ทำงานขำๆ ไม่คิดจะซื้ออะไร แต่พอเดินผ่านเห็นป้ายลดราคาก็ซื้อสักหน่อย 

ราคาก็ไม่ได้แพงด้วยซิ ก็เลยจัดสักนิดนึง ซื้อไปซื้อมาก็ได้สัปดาห์ละ 1-2 ชุดเหมือนกัน 

บางครั้งซื้อเสร็จแล้วก็มาบ่นกับตัวเองว่า เราซื้อไปทำไมกันทั้งที่ยังไม่มีเงินจ่ายค่าบัตรเครดิต ^_^!!

พอซื้อแล้วก็นำมาใส่ 1-2 ครั้งก็เบื่อละ จากนั้นก็เก็บเข้ากรุรอการบริจาค 

ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปรับรองเงินเดือนมิเหลือเป็นแน่แท้ (*_*)

ดังนั้นเราต้องปฏิวัติวิธีการซื้อของใช้กันสักหน่อยละ โดยการคิดว่าของที่เราตั้งใจจะซื้อนั้น

ขายเป็นสินค้ามือสองได้ราคาเท่าไหร่หรือถ้านำมาขายต่อแล้วขาดทุนน้อยที่สุด 

เราต้องคิดล่วงหน้าก่อนที่จะซื้อของนั้นๆ ซึ่งอินเตอร์เน็ตช่วยคุณได้

เราสามารถติดตามราคาสินค้ามือสองว่าราคาเท่าไหร่ บางครั้งมือหนึ่งกับสองก็ต่างกันเล็กน้อย

เราอาจจะได้ประหยัดโดยการใช้ของมือสองแทน หรือของบางอย่างจะมีมูลค่ามากขึ้น

แม้ว่าจะเป็นของมือสองก็ตาม 

          2. แลกของกันใช้ ใช้ของให้หมด

              เพื่อนที่ทำงานรักสวยรักงามกันมาก โดยเฉพาะยาทาเล็บซื้อกันเข้าไป ก็มีอยู่แค่ 20 นิ้ว

ขวดนึงใช้กันไม่ถึงครึ่งก็เลิกใช้ละ ถ้าเอายาทาเล็บมากองรวมกันน่าจะกินฟูจิอิ่มไปหลายมื้อแล้วหละ

เข้าทำนองว่า "ไม่มีกินไม่ว่าแต่ฉันขอสวยไว้ก่อน" มันก็เป็นความสุขส่วนตัวอะนะ จะว่ากันไม่ได้

เครื่องสำอางบางอย่างซื้อมาแล้วควรใช้ให้หมดทีละอย่าง ใช้หมดแล้วค่อยซื้อใหม่ จะได้ประหยัดเงิน

ถ้าอยากรู้ว่าคุณเสียเงินไปเท่าไหร่กับของใหม่ที่ใช้ไม่เคยหมดก็ลองเอามากองรวมกันแล้วบวก

ราคาของแต่ละชิ้นรวมกันก็จะรู้ว่า เงินออมเราหายไปอยู่กับของแบบนี้เท่าไหร่ ถ้าเราใช้หมดทีละอย่าง

ก็จะรู้ว่าเราประหยัดเงินไปได้เท่าไหร่ หรือของบางอย่างสามารถแลกกันใช้ได้ก็น่าจะดี เช่น  กระเป๋า 

รองเท้า เสื้อผ้า เครื่องประดับ ฯลฯ เคยไหมว่าไปงานแต่งงานแต่ละครั้งก็ต้องซื้อเครื่องแต่งตัวใหม่

แก้ปัญหาไม่ยากถ้าเรามีเพื่อนรูปร่างพอๆกันก็สามารถแลกเสื้อผ้ากันใส่ได้ หรืออาจจะใช้วิธีการเช่าุชุด

ตามหน้าเว็ปไซด์มีเสื้อผ้าใส่ออกงานให้เลือกมากมาย

          3. ซื้อของตามรายการที่จดเท่านั้น

              การสร้างวินัยการออมจากการวางแผนรายจ่ายและทำตามอย่างเคร่งครัดจะทำให้เราไม่

ไขว้เขวในขณะที่เราเดินเืลือกซื้อของ เช่น ถ้าเราต้องการซื้อชุดทำงานก็ต้องตั้งงบประมาณว่าเท่าไหร่

เมื่อไปถึงห้างสรรพสินค้าแล้วควรเดินไปเฉพาะส่วนที่เราจะซื้อทันที เมื่อซื้อของครบแล้วตามงบที่ตั้ง

ก็ให้รีบกลับบ้าน เพียงแค่นี้ป้ายลดราคารอบตัวก็ไม่สามารถทำอะไรคุณได้ 

           4. อย่าตัดสินใจซื้อของในทันที

               ในกรณีที่บางคนไม่สามารถระงับอารมณ์ในการซื้อของลดราคาได้นั้น ก็มีวิธีระงับความอยาก

โดยการเดินดูสินค้าหลายๆร้าน สมมติว่าคุณเห็นสินค้าลดราคา 50% ในครั้งแรกก็อาจจะเกิดเป็นแรง

ซื้อได้ทันที ลองเดินดูสักแป๊บแล้วเดินออก จากนั้นไปเดินดูร้านอื่นๆ ดูสินค้าอย่างอื่นไปเรื่อยๆ

ลองดูสักชั่วโมงนึงว่าคุณยังคิดถึงสินค้าลดราคานั้นๆอยู่หรือไม่ ถ้าคุณลืมมันไปแล้วแสดงว่า

คุณใช้อารมณ์ในการซื้อแล้วหละ และโชคดีมากที่คุณไม่ได้ซื้อเพราะถ้าซื้อแล้วอาจจะมานั่งเสียใจ

ทีหลัง  แต่ถ้าคุณยังคิดถึงมันตลอดเวลาแล้วไตร่ตรองดีแล้วว่ามันคุ้มที่จะซื้อ คุณก็จงเดินกลับไปซื้อ

เพราะการซื้อของในครั้งนี้ได้ผ่านการคิดทบทวนมาอย่างดีแล้ว


" การทำูธุรกิจจะได้กำไรมากขึ้นก็ต้อง เพิ่มราคาสินค้าหรือลดต้นทุนการผลิต

ก็เหมือนกับความมั่งคั่งส่วนตัวเรา ถ้าจะมีเงินมากขึ้นก็จะต้องเพิ่มรายได้หรือลดรายจ่าย

ถ้าทำได้อนาคตจะสดใสในวัยเกษียณ "





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น