ฉันพึ่งมาทำความรู้จักกับมันเมื่อเกิดซับไพรม์ปี 2008 มันเกิดมาจากการอยากรู้ว่าประเทศไทยมาเกี่ยวข้องอะไรกับวิกฤตที่เราไม่ก่อด้วย ยิ่งอ่านก็ยิ่งสนุก ยิ่งค้นคว้ายิ่งรู้สึกว่าทุนนิยมทำให้เกิดอะไรมากมายขนาดนี้เลยหรอ หลายครั้งที่อ่านเจอว่าบริษัทใหญ่ๆที่มีบุคคลที่เต็มไปด้วยความรู้มากมาย หรืออาจจะมีคนที่เก่งเกินคำบรรยายอยู่รวมกันเต็มไปหมด ก็สามารถทำผิดพลาดได้ไม่ต่างกับคนไม่รู้เรื่องอะไรเลย ดังนั้นถ้าเราเลือกที่จะอยู่ในโลกตลกๆใบนี้ได้ก็เลือกเป็นคนเก่งกลางๆดีกว่า คุณไม่ต้องเก่งมากก็สามารถลงทุนในตลาดหุ้นได้ แค่รู้จักตัวเองก็เพียงพอแล้ว(นั่นแหละประเด็น รู้จักตัวเอง??)
คุณเคยถามตัวเองหรือไม่ว่าเราเข้ามาในตลาดหุ้นเืพื่ออะไร หลายครั้งที่เจอคำตอบว่า
- เพื่อนแนะนำมาบอกว่าเล่นแล้วได้เงินดี(ลักษณะกล้าๆกลัวๆไม่กล้าตัดสินใจ)
- เห็นคนอื่นเล่นแล้วได้เงินเร็วดี อยากเ่ล่นบ้าง ไม่ต้องทำงานก็รวยได้(ก็แน่หละถ้าได้เงินมาก็เล่าให้ฟังแต่ถ้าเสียเงินใครเค้าจะเล่าให้เสียฟอร์มหละ)
- เป็น VI เข้ามาลงทุนเพราะอยากได้เงินปันผล $#@&%฿ (อันนี้หลักการแน่นแต่อย่าถามว่าปฏิบัติเป็นยังไง ให้พอร์ตหุ้นเป็นคำตอบละกัน พอเล่นจริงๆเห็นหุ้นคนอื่นวิ่งแล้วของตัวเองนิ่งๆก็ร้องว่าทำไมหุ้นไม่ขึ้นเลย อ้าว...บอกว่าเป็น VI ไงค่ะ จะตกใจไปทำไมถือยาวได้ไม่ใช่หรอ แล้วเราก็ทำความเข้าใจได้ว่าเค้าเป็น VI 3 วัน)
- เข้ามาลงทุนเพราะอยากจะเป็นนักลงทุนในบริษัทนั้นๆจริงๆ
จากตัวอย่างตำตอบ 2 ข้อแรกแบบนี้อาจจะเข้ามาเสียเงินมากกว่า ต้องมาปรับความคิดกันใหม่ ต้องดับฝันความรวยกันก่อนว่าถ้าคุณคิดว่าเข้ามาในตลาดหุ้นแล้วรวยเลยก็เหมือนเอาเงินที่ปั้นมากับมือไปซื้ออะไรที่ไม่รู้จัก คิดว่าซื้อแล้วก็ขึ้น พอขายก็ได้เงิน แค่นี้เล่นไม่ยากก็ไปเล่นแถวชายแดนก็ได้ไม่ต้องมาที่ตลาดหุ้นให้ลำบากเลย หรือว่าหุ้นที่เค้าบอกมาว่าจะขึ้นเพราะข่าววงในโน้นนี่นั่น แล้วก็ซื้อนั่นแหละ คุณเป็นไม้สุดท้ายให้เค้าเลยหละ แล้วก็มานั่งบ่นว่าไม่น่าเลย รู้งี้.....ต้องมีสตินิดนึงนะค่ะ ถามตัวเองก่อนว่ารู้จักหุ้นตัวนั้นไหม เคยติดตามข่าวบ้างรึเปล่า งบการเงินเป็นยังไง อัตราการเติบโตเป็นอย่างไร ถ้าไม่เคยก็อย่าเลยค่ะ ลองคิดดูอีกแบบก็ได้ว่าถ้าเราจะซื้อรถสักคันก็ยังคิดอยู่ว่าแบรนด์อะไรดี คุณภาพแบบไหน ประกันยังไง อะไหล่หาง่ายรึเปล่า โน้นนี่นั่นเต็มไปหมด คิดสารพัด แต่ทำไมเวลาเราจะซื้อหุ้นที่เค้าบอกมาแล้วเราไม่รู้จักใช้เวลาซื้อไม่ถึง 5 นาที อย่าให้ความโลภเข้ายึดพื้นที่ในสมองจนหมด กลับมานั่งอ่านบทวิเคราะห์ ไปฟังสัมมนาบ่อยๆ ไม่ต้องรีบที่จะลงทุนในสิ่งที่คุณไม่รู้ เติมความรู้ให้จนเต็มจนมั่นใจแล้วค่อยลงทุน ตลาดหุ้นรอนักลงทุนที่มีคุณภาพอยู่ตลอดเวลาค่ะ
จากตัวอย่างคำตอบที่ 3 หลักการเยอะ ถ้าจะให้ปฏิบัติได้จริงต้องไปนั่งวิปัสสนาในวัดก่อนเล่นจริงเพราะต้องไปฝึกใจให้นิ่งมากกว่านี้ อย่าให้ความกลัวหรือข่าวสารครอบงำมากเกินไป เพราะสุดท้ายหลักการที่อ่านมาก็เป็นได้แค่หลักการจริงๆ คิดจะซื้อลงทุนก็ซื้อแล้วไปทำงานซะจะได้ไม่ฟุ้งจนเกินไป เพราะถ้าฟุ้งมากๆ ระบบการลงทุนก็จะเสีย แถมงานจริงที่ทำหาเลี้ยงชีพก็จะเสียงานไปด้วย
จากตัวอย่างคำตอบที่ 4 อันนี้ก็เป็นแนว VI จ๋ามาเลย ตามหลักการเป๊ะๆ เลือกซื้อหุ้นแล้วถือรอปันผล ปรับพอร์ตบ้างตามกลยุทธ์การลงทุนที่วางไว้ แบบนี้เล่นไม่ยากซื้อแล้วถือยาวมันแจ่มเสมอ เราชอบวิธีนี้ที่สุด เพราะเป็นการออมเงินในหุ้น เลือกตัวที่ปันผลสูงๆ ลงทุนในธุรกิจที่เราเข้าใจ วิธีการออมอาจจะเป็นการทะยอยซื้อหุ้นตัวเดียวกันทุกเดือนๆในปริมาณเงินที่เท่ากัน หรือที่เราเรียกว่า Dollar Costing Average จากสถิติแล้วผลตอบแทนระยะยาวของตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนดีกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ แต่ก็ไม่ควรลงทุนในตลาดหุ้นมากเกินไปเพราะจะมีความเสี่ยงมากเกินไป ควรจัดสัดส่วนการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ให้เหมาะกับช่วงอายุและเป้าหมายการเงินของแต่ละบุคคลด้วย
หลักการแบบต่างๆที่ถูกนำมาเป็นแบบอย่างเช่น แบบ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ,วอร์เรน บัฟเฟตต์ ฯลฯ ซึ่งหลักการแต่ละแบบที่เราศึกษาก็ต้องมาปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเอง อย่าน้อยเราก็มีแนวทางในการลงทุนเพื่อต่อยอดให้มีกลยุทธ์การลงทุนอื่นๆอีกตามมา
หลักการแบบต่างๆที่ถูกนำมาเป็นแบบอย่างเช่น แบบ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ,วอร์เรน บัฟเฟตต์ ฯลฯ ซึ่งหลักการแต่ละแบบที่เราศึกษาก็ต้องมาปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเอง อย่าน้อยเราก็มีแนวทางในการลงทุนเพื่อต่อยอดให้มีกลยุทธ์การลงทุนอื่นๆอีกตามมา
"ตลาดหุ้นก็เหมือนคนซึ่งมีหลายแง่มุม เพียงแต่ว่าเราจะเลือกมองที่มุมไหนเท่านั้นเอง"
บทความน่าสนใจ
บัตรเครติต & ตลาดหุ้น...หลักการกับปฎิบัติมันไม่เหมือนกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น