วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หารอยรั่วของเงินจากการจดบันทึก



คุณเคยอยากรู้บ้างไหมค่ะว่าเงินของเรามันไปเดินเล่นที่ไหนบ้าง 

หรือรู้สึกว่่าทำไมเพิ่งได้เงินมาแล้วมันถึงหมดไปเร็วจัง @_@!!

จากนั้นก็มองไปรอบๆตัวดูเหมือนว่าเรายังไม่ได้จ่ายอะไรนะ แต่ทำไมเงินมันหายไป

ต้องมีขโมยแน่ๆเลย ..... แล้วอะไรหละที่มาขโมยเงินของเราไปนะ อยากรู้จังเลย??

เรามาร่วมกันออกตามหาแหล่งใช้ไปของเงินกันเถอะค่ะ 

วิธีการที่ทำได้ง่ายๆ ได้ยินมาก็เยอะ แต่ไม่ค่อยทำกันสักเท่าไหร่ เพราะแพ้ความขี้เกียจ เหอะๆ

แค่เราจดบันทึกรายรับ รายจ่ายทุกวันก็เท่านั้นเองค่ะ 

บางคนเคยทำแล้วหละ แรกๆก็จด หลังๆก็ลืม จนต่อมากลายเป็นขี้เกียจ (เคยเป็นเหมือนกัน)

เราต้องทำจนเป็นนิสัยจนเกิดความเคยชิน เหมือนกับเราหิวแล้วต้องกินข้าวหนะค่ะ

ถ้าเราต้องการสร้างความมั่งคั่งในอนาคตเราก็ต้องเริ่มต้นจากการอุดรอยรั่วใกล้ตัวก่อน

ซึ่งบางคนคิดว่าไม่สำคัญ เพราะคิดว่าเรารู้แล้วว่าเรามีรายได้เท่าไหร่ 

เอาไปลงทุนซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อให้เงินงอกเลยเท่าไหร่ 

ซื้อของใช้ของกินเท่าไหร่คร่าวๆก็พอแล้ว ไม่เห็นจะต้องมาลงรายละเอียดเลยว่าใช้อะไรไปบ้าง

เรามาดูกันค่ะว่าการจดบันทึกมันให้อะไรมากกว่าที่คุณคิด

มาดูตัวอย่างการจดบันทึกกันนะค่ะ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------


รายจ่ายประจำเดือน......
รายได้
  เงินเดือน
  รายได้จากการออมและการลงทุน
รวมรายได้

รายจ่าย
  เงินออม
  เงินลงทุน(LTF,RMF,...)

 รายจ่ายคงที่
  ค่าเบี้ยประกันชีวิต
  ค่าผ่อนรถ
  ค่าผ่อนบ้าน

รายจ่ายผันแปร
  ค่าอาหารและเครื่องใช้ในบ้าน
  ค่าสาธารณูปโภค
  ค่าโทรศัพท์
  ค่าเดินทาง
  ค่าการศึกษาบุตร
  ค่าใช้จ่ายบุตรอื่นๆ
  ค่าเสื้อผ้า เครื่องประดับ
  ค่าใช้จ่ายเพื่อการพักผ่อน
  ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
รวมรายจ่าย

กระแสเงินสดสุทธิ (รายได้-รายจ่าย)


----------------------------------------------------------------------------------------------------------

เราเรียกตารางนี้ทางวิชาการว่า "งบกระแสเงินสด" แต่ปาจะเรียกว่างบรายรับ รายจ่ายละกันนะค่ะ

มันค่อนข้างตรงตัว และเข้าใจง่ายดีค่ะ เราก็พอมองออกแล้วว่าก็จะประกอบด้วยรายรับและรายจ่าย

ซึ่งรายรับก็เขียนให้หมดเลยค่ะว่าเรามีแหล่งรายได้มาจากแห่งหนตำบลใดบ้าง 

แล้วก็บันทึกรายจ่าย ซึ่งจะเห็นว่าจะเป็นเงินออมขึ้นต้นเลย บางคนงงว่าเงินออมเป็นรายจ่ายได้ไง

ก็เราออมไว้ใช้นะไม่ใช้รายจ่าย นี่แหละค่ะเป็นที่มาของ "ออมก่อนใช้" ให้เราคิดซะว่าเป็นรายจ่าย

ชนิดนึ่งหนะค่ะ พอเงินเข้ากระเป๋าเราต้องเอาเงินไปออมสักที่นึง เช่น ฝากประจำกับธนาคาร

ซื้อกองทุนแบบเฉลี่ยซื้อทุกเดือน ฯลฯ ชนิดไม่ต้องเห็นเงินกันเลย เราจะได้ไม่เสียดายแล้วเผลอไปใช้

ถ้าถามว่าต้องออมเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม ไม่ควรต่ำว่า 10% ของรายได้ในแต่ละเดือน

จากนั้นเราค่อยใช้ส่วนที่เหลือ นอกจากรายจ่ายเรื่องการออมแล้วก็จะมีการแบ่งรายจ่ายเป็น 2 ชนิด 

คือ รายจ่ายคงที่ และรายจ่ายผันแปร เรียกซะยากเชียว แล้วเราจะแบ่งกันยังไงหละมีรายจ่ายตั้งเยอะ

สำหรับรายจ่ายคงที่ก็ให้เรานึกถึงว่าเงินที่เราไม่สามารถควบคุมมันได้ เช่น เบี้ยประกันชีวิต

เงินผ่อนบ้าน เงินผ่อนรถ ส่วนรายจ่ายผันแปร คือ รายจ่ายที่เราสามารถควบคุมได้นั่นเองค่ะ

ควบคุมในที่นี้คือ เราสามารถลดหรือเพิ่มได้ตลอดเวลาตามความจำเป็น

บรรทัดที่สำคัญที่สุดสำหรับงบนี้คือ กระแสเงินสดสุทธิ ถ้าออกมาเป็นบวกแสดงว่าเรามีรายได้

มากกว่ารายจ่าย แน่หละถ้าเป็นลบแสดงว่าเดือนนั้นเราช๊อตแล้วหละ 

การแบ่งแยกรายจ่ายอย่างชัดเจนนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งเพราะเราจะได้รู้ว่าเราเสียเงินไปกับอะไร

มากที่สุดในแต่ละเดือน เช่น

  •  ค่าโทรศัพท์จ่าย 1-2 พันต่อเดือน เราน่าจะหาวิธีโทรแบบถูกๆได้ง่ายๆในยุค 3G  อย่างการโทรทางเน็ตก็ได้เมาท์กันมันส์สนั่นเมืองและไม่เปลืองเงินค่าโทรอีกต่างหาก 
  • ค่าเสื้อผ้า เครื่องประดับ อันนี้ค่อนข้างลดลำบากสำหรับขาช้อป แต่ก่อนซื้อก็ต้องคิดว่าสิ่งต่างๆที่เราซื้อไปเมื่อเจอป้าย sales ครั้งสุดท้ายเราใส่ครบแล้วรึยัง เพื่อเป็นการป้องกันเงินในกระเป๋าเราก็น่าใช้วิธีการตั้งงบไว้ว่าใช้ได้เดือนละเท่าไหร่ ถ้าเดือนไหนซื้อครบแล้วก็ไม่ต้องซื้ออีก แต่เดือนไหนซื้อไม่ึถึงงบที่ตั้งไว้ก็ไม่ต้องตั้งใจซื้อให้ครบก็ได้ค่ะ เอาไว้เป็นเงินออม หรือเงินบริจาคก็ได้
  • ค่าใช้จ่ายบุตรอื่นๆ ซึ่งแล้วแต่อายุของบุตรด้วย ของบางอย่างก็ต้องใช้ให้เหมาะกับวัยและความจำเป็น ไม่ใช่ว่าเห็นเพื่อนมีอะไรแล้วก็ต้องมีเหมือนกัน  ทั้งนี้ต้องอธิบายให้บุตรเข้าใจด้วยว่าควรมีหรือไม่มีไว้ใช้ และเพราะอะไรถ้าไม่ได้ใช้เหมือนเพื่อน
  • ภาษีเงินได้บุคคล การประหยัดภาษีจากการใช้หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่างๆใช้ครบแล้วรึยัง เพราะถ้าเราประหยัดภาษีได้จะทำให้รายจ่ายของเราน้อยลง
ก็เป็นตัวอย่างคร่าวๆ ไม่สามารถทำได้เหมือนกันทุกคนเพราะขึ้นอยู่กับข้อจำกัดของแต่ละคนค่ะ

เราจดไปสัก 3-4 เดือนก็จะเห็นภาพทุกอย่างชัดขึ้นว่าเงินในกระเป๋าของเราถูกอะไรขโมยไปบ้าง

พอจดบันทึกจนชินแล้วเราก็จะได้เปรียบเทียบได้ว่าปีนี้กับปีที่แล้วเป็นอย่างไรบ้าง จะได้ภาพที่ชัดเจนค่ะ

หนี้สินที่ควรมีวิธีคำนวณตามนี้ค่ะ http://pajareep.blogspot.com/2012/05/blog-post_21.html

                                 

                                             "ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้นนะค่ะ" 


บทความน่าสนใจ

รู้อะไรไม่สู้ "รู้งี้" กับการวางแผนเกษียณ
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/06/blog-post.html

บทเรียนในความมืดกับการวางแผนการเงิน
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/02/blog-post_24.html

การเงินส่วนบุคคล ตอน การวิเคราะห์สภาพคล่องส่วนบุคคล
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/01/blog-post_11.html

คนล้มละลาย เศรษฐกิจก็ล้มละลาย
==> http://pajareep.blogspot.com/2012/10/blog-post.html











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น