การค้นหาตัวตนของตนเองว่าเราชอบอะไรหรือมีความฝันที่อยากจะทำอะไรนั้นหายาก บางคนตามหามาทั้งชีวิตก็ยังไม่เจอ แต่ถ้าใครหาเจอเร็วถือว่าโชคดีเพราะจะมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่รัก การที่เราได้ทำงานที่เรารักก็เหมือนกับว่าเราไม่ได้ทำงาน แต่เราจะค้นหาตัวตนของตัวเองเจอได้อย่างไรว่าเราชอบอะไรหรือว่าฝันอยากจะทำอะไร ในบทความนี้อยากจะแชร์ไอเดียวิธีการค้นหาตัวตนที่อ่านเจอในหนังสือและประสบการณ์ส่วนตัวมาเล่าให้ฟังค่ะ
สำหรับบางคนที่กำลังตามหาความฝัน ตามหาตัวตนของตนเองว่าเราชอบอะไร ค้นหามาหลายวิธีแล้วยังไม่เจอสักที ลองดูวิธีนี้ก่อนไหมคะอาจจะเจอก็ได้ วิธีนี้เราอ่านเจอในหนังสือคิดว่าน่าจะมีประโยชน์และนำมาปรับใช้ได้จึงอยากจะแชร์ให้คนอื่นได้ลองไปใช้ เราจะเรียกวิธีนี้ว่า "การค้นหาตัวตนจากการเขียนคำไว้อาลัยให้งานศพตนเอง" เราไม่รู้ว่าคนอื่นมองเรื่องความตายเป็นอย่างไรแต่เรามองในมุมที่ว่า ณ วันหนึ่งทุกคนก็ต้องตาย ทรัพย์สมบัิติที่สร้างมาทั้งชีวิตเราไม่สามารถนำไปได้สักบาทเดียว หลงเหลือไว้แต่ความทรงจำที่ทำให้คนรุ่นหลังคิดถึงและจดจำในสิ่งที่เราทำไว้ในขณะที่มีชีวิตอยู่ โดยผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้เขียนคำไว้อาลัยให้แก่งานศพตนเองว่า "จะเป็นแพทย์และเปิดคลีนิกเหมือนพ่อ ทำให้พ่อภูมิใจ มีรายได้ที่มั่นคง ได้รับรางวัลเกียรติยศมากมาย" หลังจากเขียนไปได้สักพักก็มารู้สึกตัวว่าทุกอย่างที่เขียนไปมันไม่ใช่เพื่อความฝันของเขาเลย แต่เป็นการทำเพื่อพ่อ เพื่อคนอื่นทั้งนั้น แล้วเขาก็ขีดฆ่าทุกอย่างที่เขียน และเริ่มเขียนใหม่ตามสิ่งที่อยากทำจริงๆ สุดท้ายเขาก็ทำเพื่อตนเอง ทำเพื่อความฝันจนประสบความสำเร็จเหมือนอย่างที่เขียนไว้
ชื่อของวิธีการอาจจะฟังดูหดหู่แต่มันก็เป็นสัจธรรมของชีวิตที่เราต้องยอมรับเรื่องความตาย แต่ก่อนตายเราขอทำอะไรสักหน่อยให้สมกับที่เกิดมาเป็นคน เราลองเขียนกันนะคะ
ตัวอย่าง คำไว้อาลัยให้อภินิหารเงินออม
- ต้องการให้หนังสือของเราสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่านเริ่มต้นและเห็นความสำคัญของการวางแผนการออมเงินเพื่อความสุขระยะยาวมากกว่าความสุขสบายเพียงชั่วคราว
- บริจาคหนังสือและอุปกรณ์การศึกษาให้โรงเรียนที่ขาดแคลน
- เป็นวิทยากรที่สร้างแรงบันดาลใจให้คนเห็นความสำคัญของการออมเงิน
เรารู้สึกโชคดีที่ค้นหาตัวตนของตนเองเจอว่าเราชอบทำอะไร รู้ว่าตนเองอยากทำอะไร มีความเชื่อและแรงบันดาลใจที่ทำเพื่ออะไรบนเส้นทางที่เราเลือกเอง ซึ่งตัวตนของเราสะท้อนอยู่ในบทความทั้งหมดที่เราเขียน วิธีค้นหาตัวตนของเรานั้นมาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ไม่คาดคิดว่าจะเจอ มันเป็นประสบการณ์เฉียดความตาย
จุดเริ่มต้นของการค้นหาเกิดขึ้นในช่วงที่เรียนปริญญาตรีได้ไปเที่ยวกับเพื่อนที่เีรียนด้วยกันเกือบสิบคนนัดกันไปขับเจ็ทสกี เราไปเจอเพื่อนเกือบ 5 โมงเย็น ตอนนั้นอากาศก็เริ่มมืด เราก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมจะเล่นเพราะถ้าเย็นกว่านี้อาจจะมองอะไรไม่เห็น เหตุการณ์อย่างกับในละคร พอคิดจะลงเล่นน้ำเท่านั้นแหละแม่ก็โทรมาบอกว่า "อย่าเล่นน้ำนะลูกเพราะพระเตือนไว้ว่าจะมีอุบัติิเหตุทางน้ำ" เพื่อความสบายใจของแม่เราจึงตอบกลับไปว่า "จ้าแม่ ไม่เล่นน้ำจ๊ะ" ฮึฮึ เตรียมตัวมาขนาดนี้จะไม่เล่นได้อย่างไร แล้วเราก็ลงไปเล่นรอบแรกก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นและคิดว่าแม่คิดมากเกินไป เราพักเหนื่อยและกินเติมพลังก่อนลงเล่นรอบสองบังเอิญว่าเพื่อนอยากนั่งไปด้วยก็เลยนั่งกันไป 3 คน(เพื่อนเป็นคนขับ) ช่วงเข้าโค้งเตรียมที่จะเลี้ยวกลับเจ๊ทสกีพลิกคว่ำเหตุจากคนเยอะเกินไป เพื่อนสองคน 2 คนกระเด็นออกไปจากเจ็ทสกีได้ แต่เราติดอยู่ใต้เบาะเจ๊ทสกีที่คว่ำนั่นแหละ
ประเด็นอยู่ที่ว่าเราว่ายน้ำไม่เป็น อาการช่วงนั้นคงไม่ต้องบอกว่ากลัวมากแค่ไหนที่คนว่ายน้ำไม่เป็นจมน้ำและกำลังหายใจไม่ออก สมองเราเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า "เรากำลังจะตายอยู่สระน้ำนี้จริงๆหรอ" คำตอบที่ดังอยู่ในหัวตอนนั้นและจำได้จนถึงตอนนี้คือ "แกจะตายไม่ได้เพราะยังไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำสักอย่าง จะมาตายง่ายๆแบบนี้ได้ยังไง" แล้วเราก็รวบรวมสติเพื่อนึกภาพว่าเราอยู่ส่วนไหนของเบาะและมุดหัวออกมา เพื่อนก็ดีใจที่หาเราเจอ พอขึ้นมาข้างบนเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนฟังก็ขำๆได้เพราะรอดมาได้ละนิ แต่ตอนจมน้ำขอสารภาพว่ามันไม่ขำเลยจริงๆ ทำให้เราคิดว่าพระทำนายแม่นหรือเราไม่ระวังตัวกันแน่จึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
จากเรื่องนี้ก็ทำให้แนวความคิดของเราในการเลือกทางเดินของชีวิตเปลี่ยนไป จากสิ่งที่แม่เลือกให้กลายเป็นเส้นทางที่เราเลือกเอง คำแนะนำของแม่ก่อนที่เราจะเลือกเส้นทางเดินของตัวเอง(ขอบคุณที่น้องชายช่วยแม่ทำงานอยู่ที่บ้านไม่อย่างนั้นเราคงออกมาผจญภัยนอกบ้านไมไ่ด้) เช่น
- ทำงานเป็นข้าราชการเพราะความมั่งคงของรายได้ช่วงวัยเกษียณ
- การทำธุรกิจโต๊ะจีนเพื่อสืบทอดกิจการของแม่ที่ปูทางไว้แล้วเราจะได้ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่
- ทำอาชีพค้าขายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เมลามีนของบริษัทศรีไทยซุปเปอร์แวร์เพราะแม่ทำงานมา 25 ปี ก็มีฐานลูกค้าไว้แล้ว เราก็เข้าไปทำงานต่อ
ถ้าเรามีความมุ่งมั่นและมีแรงบันดาลใจก็สามารถทำทุกอย่างสำเร็จได้ เหมือนกับการมีจุดมุ่งหมายในการออมเงิน ถ้าเรามีจุดเริ่มต้นเมื่อไหร่วิธีการก็จะตามมาเอง แนวความคิดเรื่องการออมเงินของแต่ละคนนั้นมีจุดเริ่มต้นแตกต่างกัน เคยถามตนเองไหมว่า "รู้ทั้งรู้ว่าการออมเงินมีประโยชน์แล้วทำไมไม่ทำ" เราจึงเริ่มค้นหาคำตอบจากการสัมภาษณ์คนรอบข้างเพื่อจะได้รู้ว่าทำไมถึงไม่อยากออมเงิน ซึ่งคนส่วนใหญ่จะให้เหตุผล ดังนี้
- บางคนได้เงินเดือนมาแล้วก็ไม่คิดจะเก็บ ได้มาเท่าไหร่ก็ใช้จนหมดหรือใช้เกินเงินที่หาได้ เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็หาเงินใหม่ได้ หาเงินได้เยอะก็ต้องใช้ให้คุ้มกับที่เหนื่อยมาสักหน่อยหรือมองว่าการออมเงินมันยากเกินไป ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร พฤติกรรมแบบนี้จะยังคงอยู่ต่อไปจนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้เริ่มต้นออมเงิน คือ ช่วงตกงาน ถ้าใครหางานใหม่ได้เร็วก็โชคดีไป แต่ถ้าตกงานเกินกว่า 3 เดือนจะเิริ่มกระวนกระวายละว่าจะทำอย่างไรดี เงินทองที่เก็บไว้ก็จะหมด บ้านและรถยนต์ที่ผ่อนอยู่กำลังจะถูกยึดเพราะไม่ส่งค่างวด จุดเปลี่ยนในชีวิตแบบนี้มองดูผิวเผินแล้วแย่เพราะเจอแต่ปัญหา แต่ถ้ามองดีๆแล้วถือเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้เราปรับแนวคิดการใช้ชีวิต คิดได้และเริ่มวางแผนการใช้เงิน
- สำหรับคนที่มีพ่อแม่คอยหนุนหลัง เวลาเดือดร้อนเรื่องเงินก็ไปยืมที่พ่อกับแม่ จึงไม่คิดจะเก็บเงินเอง จุดเปลี่ยน คือ ตอนที่ตู้ ATM ของเราไม่มีให้กดนั่นแหละเราจะทำอย่างไร ไม่กลัวท่านจะลำบากตอนเกษียณกันบ้างรึ
- บางคนที่กำลังจะสร้างครอบครัว จากก่อนหน้านี้อยู่คนเดียวจะทำอะไรก็ได้ ไม่มีเงินเหลือเก็บ ต้องเริ่มคิดและเริ่มวางแผนมากขึ้นว่า เพราะจุดเปลี่ยนที่ทำให้เริ่มออมเงิน คือ ช่วงที่มีลูก เพราะต้องเริ่มวางแผนแล้วว่าจะต้องเก็บเงินให้ลูกเท่าไหร่ ค่าเรียน ค่าอาหาร และอีกสารพัดปัจจัยที่ทำให้ชีวิตครอบครัวอยู่รอด เราเชื่อว่าความรักชนะทุกสิ่งก็จริง แต่ความรักในครอบครัวเริ่มลดน้อยลงถ้าเราไม่มีเงินซื้อข้าวกิน หลายครั้งที่การทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวนั้นเกิดจากการขาดวินัยทางการเงิน ดังนั้นควรตกลงให้ดีตั้งแต่ก่อนแต่งงานว่าจะมีวิธีเก็บเงินกันอย่างไร
"ถ้าเรารู้ว่าจุดจบอยู่ที่ไหน
ก็จะรู้ว่าเราจะเริ่มต้นอย่างไร"
ก็จะรู้ว่าเราจะเริ่มต้นอย่างไร"
บทความน่าสนใจ
บันไดขั้นแรกของความมั่งคั่ง
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/12/blog-post_26.html
จดบันทึกเพื่อให้เงินหมดช้าลง
==> http://pajareep.blogspot.com/2014/01/blog-post.html
เปลือกนอกที่หลอกตา
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/12/blog-post.html
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/11/blog-post_26.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น