วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ต้นทุนชีวิต - มีมูลค่าเท่าไหร่



ภาพนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือพ๊อกเก็ตบุ๊คที่กำลังจะออกวางแผงในช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ค่ะ อิอิ จากเรื่องราวที่เขียนในบล็อกสู่การทำเป็นหนังสือในครั้งนี้มันเป็นความรู้สึกที่มาไกลเิกินฝันจริงๆ ความรักในการเขียนมันเกิดมาจากที่ต้องการที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ที่พบเห็นรอบๆตัวที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้เงินในด้านต่างๆ ให้เพื่อนเราและคนอื่นที่เราไม่รู้จักได้รับรู้ ถ้าผู้อ่านในบล็อกและในหนังสือเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็นำไปใช้(บอกให้คนอื่นทำตามได้จะยิ่งดี) แต่ถ้าผู้อ่านเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ก็สามารถทิ้งคำวิจารณ์ได้เต็มที่ จัดเต็มมาได้เลย ผู้เขียนทำใจยอมรับคำติไว้ล่วงหน้าแล้วค่ะ

อยากให้ภาพนี้ชื่อ "ต้นทุนชีวิต" ในที่นี่จะมองเปรียบเทียบในมุมของการทำงานและการใช้จ่าย โดยที่มองว่าความยากลำบากในการทำงานเพื่อให้ได้สิ่งที่เรียกว่า "เงิน" มาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันนั้นมันยากลำบากสักเพียงใด ต้องเสียเวลา เสียสุขภาพร่างกาย เสียสุขภาพจิต ฯลฯ ไปมากเพียงใดเพื่อให้ได้รับสิ่งที่ต้องการ 

ลองนึกภาพตัวเองที่ต้องตื่นแต่เช้า ต้องรีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อออกจากบ้านไปให้ทันช่วงเวลาเข้างาน จากนั้นก็นั่งทำงานก้มหน้าก้มตาทั้งวัน มารู้ตัวอีกทีก็เลิกงานละ บังเิอิญงานยังไม่เสร็จก็ต้องทำต่อถึงค่ำมืดดึกดื่น พอเครียงานจบก็ต้องรีบกลับบ้านไปพักผ่อนเพื่อที่ตอนเช้าจะได้มาทำงานอีกครั้ง 
  • อันนี้ยังไม่รวมความเครียดที่หงุดหงิดจากการทำงานอันเนื่องมาจากนอนไม่พอ
  • ความเครียดจากการถูกลูกน้องหรือเจ้านายกลั่นแกล้ง 
  • ความเครียดจากเพื่อนร่วมงานทำงานช้าจนเราทำงานต่อไม่ได้
  • ความเครียดทีุ่ถูกเร่งให้ทำงานเสร็จทันเวลา
  • ความเครียดจากหนี้บัตรเครดิตที่ลืมจ่ายไปแค่ไม่กี่วันดอกเบี้ยแทบจะวิ่งทะลุเงินต้น
  • ความเครียดทีุ่ถูกโรคภัยไข้เจ็บรุมทำร้าย เช่น ปวดหลัง ปวดหัว ปวดสารพัดรูปแบบ
  • ความเครียดกลัวถูกตำรวจจับ(ในกรณีที่คุณคิดจะทำผิดกฎหมาย)
  • และอื่นๆอีกสารพัดความเีครียดที่เป็นผลจากการทำงาน
เงินเดือนหรือผลตอบแทนที่คุณได้รับมันรวมสิ่งเหล่านี้ไปหมดแล้ว ถ้ามองเป็นกลางๆที่ว่า เมื่อเงินที่เราหามาอย่างยากลำบากเวลาจะใช้ก็ต้องคิดเยอะๆแล้วค่อยๆใช้ ค่อยๆตัดสินใจ เลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้วจึงจ่ายให้กับมัน แต่ถ้าคุณยังมองไม่ออกว่าสิ่งที่คิดนั้นมันคุ้มที่จะจ่ายเพื่อให้ได้มาหรือไม่ก็ลองตั้งคำถามนี้ดูว่า  "มันคุ้มไหมที่...." แล้วค่อยคิดว่าจะจ่ายเงินเพื่อสิ่งนั้นดีหรือไม่
  • มันคุ้มไหมที่นำเงินมาใช้จ่ายเพื่อสิ่งที่จะมาทำร้ายตัวคุณเองในอนาคต
    • ใช้เงินเพื่อสูบบุหรี - ที่รู้ทั้งรู้ว่าทำร้ายปอด 
    • ใช้เงินเพื่อดื่มสุรา -  ที่รู้ทั้งรู้ว่าทำร้ายตับ
    • ใช้เิงินเพื่อเสี่ยงโชค - ที่รู้ทั้งรู้ว่าสุดท้ายแล้วเหลือเพียงความว่างเปล่า
          ==> ทำให้เสียค่ารักษาพยาบาล ทำให้ครอบครัวไม่สงบสุขเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง เมื่อหาเงินมาชำระหนี้พนันไม่ได้เกิดเป็นปัญหาสังคม ปล้น จี้ ชิงทรัพย์ 
  • มันคุ้มไหมที่ต้องจ่ายเงินเพื่อสร้างภาพลักษณ์โดยพยายามทำตนเองให้ดูดีซึ่งบางครั้งเกินพอดี
    • ใช้เงินเพื่อซื้อสินค้าราคาแพง - ที่รู้ทั้งรู้ว่าเกินฐานะของตน 
      • เรื่องที่เคยเจอกับตนเองเป็นผู้หญิงคนนึงหน้าตางดงาม แต่งตัวดีมากๆ มางดซึ่งความงามตรงที่คำสบถที่ดูเหมือนพูดจนชินปาก ทำให้ดูว่าของแพงเหล่านั้นมีค่าไม่ต่างอะไรกับของที่ขายแบกะดิน (เราอยากจะเข้าไปเตือนคนนั้นด้วยความหวังดี แต่เราไม่่รู้จักกัน เกรงว่าจะได้คำอื่นมาแทน ก็เลยมองดูอยู่เฉยๆดีกว่า)
    • ใช้เงินเพื่อซื้อของให้เหมือนเืพื่อน - ที่รู้ทั้งรู้ว่าซื้อไปก็ไม่ค่อยได้ใช้ มีประดับไว้เพื่อจะได้ไม่ตกกระแสเท่านั้น 
      • เรื่องนี้เจอกับตนเองเรื่องของตุ๊กตาเฟอร์บี้ น้องที่ทำงานเอามาเล่น เราก็รู้ว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ใครจะทำอะไรก็ได้ แต่บางครั้งเสียงของมันก็สร้างความรำคาญให้กับคนอื่น เราก็เลยบอกว่าเอาไว้เล่นเวลาเหงานอกเวลางานหรือกลับไปเล่นที่บ้าน มิฉะนั้นมันจะไม่มีสิทธิ์ได้ส่งเสียงอีก (ขอขอบคุณที่น้องๆเชื่อฟัง)
          ==> ทำให้ไม่เหลือเงินกินข้าว ไม่เหลือเงินจ่ายค่าเทอมให้บุตร ไม่เหลือเงินเรียนหนังสือเพื่อพัฒนาความรู้ตนเอง ไม่เหลือเงินไว้ใช้จ่ายตอนที่ตนเองทำงานไม่ไหว ช่วงเจ็บป่วยหรือตกงาน

ถ้าเราแยกความเครียดข้างต้นออกมาเป็นตัวเลขหละ คุณจะให้มูลค่าเท่าไหร่?? บางคนอาจจะให้มากกว่าเงินเดือนหรือผลตอบแทนที่ได้รับ เพราะบางครั้งค่ารักษาพยาบาลโรคภัยไข้เจ็บจากการทำงาน(ที่ทำงานจนไม่ได้ดูแลตนเอง)มันมีมูลค่าสูงกว่าเงินเดือนนั้นเสียอีก ดังนั้น ก่อนที่จะจ่ายเงินเพื่ออะไรสักอย่างคงต้องนำต้นทุนชีวิตมาคิดด้วย

ต้นทุนชีวิตอีกมุมหนึ่งเป็นต้นทุนชีวิตในแง่มุมของจิตใจ ซึ่งทุกคนแตกต่างกันที่วิธีคิดและทัศนคติกับสิ่งต่างๆรอบตัว เพียงแค่เปลี่ยนวิธีคิด การกระทำของเราก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย บางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่ความมุ่งมั่น ความอดทนก็สามารถทำให้เป็นจริงได้

"แม้ว่าเราเกิดมามีอวัยวะครบทุกส่วน
แต่ถ้าหัวใจเราไม่สู้ ท้อแท้ต่อปัญหา 
เราก็เป็นคนใจพิการได้เหมือนกัน"

เรื่องที่น่าประทับใจเกิดขึ้นกับผู้เข้าประกวด ชื่อ หลิว เหว่ย ใน China's Got Talent 2010 (เป็นผู้ชนะการประกวดด้วย) ความพยายามของหลิว เหว่ย ทำให้เรารู้จักคำว่า "ไร้ขีดจำกัด" ประวัติของเขาแพร่หลายมากใน Google เราสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหลายๆเว็ป บังเอิญเปิดเจอวีดีโอนี้สรุปออกมาได้ดีทีเดียว ก็เลยอยากจะให้ทุกคนได้ดูถึงประวัติ การใช้ชีวิต ภาพการประกวด เพื่อปลุกคนที่กำลังท้อแท้ สิ้นหวังกับชีวิตได้มีพลังลุกขึ้นอีกครั้ง 



การแสดงของหลิว เหว่ย ในการประกวดรอบสุดท้าย



"ไม่มีใครกำหนดว่าเปียโนต้องเล่นด้วยมือเท่านั้น"

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.yimtamphan.com/?p=1554#sthash.WAkZTND6.jnJWdBvz.dpbs

บทความน่าสนใจ


สร้างแรงบันดาลใจเป็นตัวเลข
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/10/blog-post_28.html

ภาพรวมของการวางแผนการเงินส่วนบุคคลมี 5 แผน
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/10/5.html

ความสามารถของเรามีมูลค่าเท่าไหร่??
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/10/blog-post.html

ประกันชีวิตหักลดหย่อนภาษี 200,000 บาท ตอนที่ 1/2
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/09/200000-12.html

อ่านหนังสือสร้างโลก
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/08/blog-post_20.html

มีเงิน 5 หมื่นออมอะไรดี
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/07/5.html

บัตรเครดิตที่เราต้องรู้
 ==> http://pajareep.blogspot.com/2013/07/blog-post.html

เราทำงานเพื่ออะไร
 ==> http://pajareep.blogspot.com/2013/05/blog-post_27.html

รู้อะไรไม่สู้ "รู้งี้" กับการวางแผนเกษียณ
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/06/blog-post.html


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น