= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
คำถามนี้ได้ถามมาในบล็อกของการซื้อสลากออมสินและธกส.แล้วถูกทุกงวด จึงนำมาเป็นประเด็นของบล็อกในวันนี้ค่ะ ขอบคุณสำหรับคำถามนี้มากๆค่ะ หลังจากที่อ่านจบก็คิดอยู่นานหลายวันว่าจะตอบอะไรดี เพราะบางครั้งหลักการออมเงินตามทฤษฎีใช้กับชีวิตจริงไม่ได้เสมอไป ดังนั้น เราขอตอบตามสิ่งที่เราคิดจากประสบการณ์รอบตัวนะคะ ถ้าเพื่อนที่อ่านแล้วไม่เห็นด้วยหรือมีไอเดียเพิ่มเติมรบกวนส่งเมล์หรือคอมเม้นเพื่อเป็นวิทยาทานให้ผู้เขียนเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆด้วยคะ ^_^
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
ถ้าพูดถึงเรื่องการออม คุณจะนึกถึงอะไรบ้าง??
==>การเก็บเงินในรูปแบบเงินฝาก , กองทุนรวม , หุ้น , ทองคำ , ที่ดิน ฯลฯ ซึ่งการออมแบบนี้ทำให้เงินงอกเงยตามดอกเบี้ยหรือกำไรจากการขาย ซึ่งจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ ยิ่งความเสี่ยงมากผลตอบแทนยิ่งมากขึ้น ส่วนวิธีการลงทุนนั้นก็สามารถศึกษาได้ตามเว็ปไซด์หรือหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนที่มีขายมากมาูยในร้านหนังสือ ทั้งนี้เราควรลงทุนในสิ่งที่เรารู้และเข้าใจมากกว่าการถูกชักจูงด้วยอัตราผลตอบแทนที่สูงเวอร์ อะไรที่มันดีเกินไป หรือเค้าบอกว่าไม่มีความเสี่ยงเลยนั้นไม่จริง ต้องระวังเงินของเราให้มากๆ อย่าให้ความโลภบังตา มิฉะนั้นเงินที่เราบากบั่นหามาจะหายไปง่ายๆ การลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงเวอร์นั้นมีแต่แชร์ลูกโช่เท่านั้นที่ทำได้
เราสามารถตรวจสอบข้อมูลบริษัทต่างที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนได้ในเว็ปไซต์ของ กลต. เพื่อตรวจดูว่าบริษัทนั้นๆได้รับใบอนุญาตหรือไม่ เป็นบริษัทที่หลอกลวงรึเปล่า ตรวจสอบให้แน่ใจก่อนการลงทุนจะปลอดภัยที่สุด โดยเข้าไปที่ Investor Alert ทางด้านลูกศรขวามือค่ะ
การออมแบบข้างต้นนั้นเป็นการออมแบบแรกที่เรารู้จักกัน ส่วนอีกด้านหนึ่งของการออมที่เราคิดว่าควรแบ่งเงินมาลงทุนนั่นคือ "การออมความรู้" เป็นการออมเพื่อพัฒนาตนเองที่ทำให้เกิดผลงอกเงยในอนาคตได้เช่นเดียวกัน ให้เรามองภาพการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลเพื่อมาพัฒนาประเทศซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อสร้างโอกาสในอนาคตให้กับประเทศ (สมมติว่าโลกนี้ไม่มีคอรัปชั่น) ดังเช่นการพัฒนาของประเทศสิงคโปร์โดยแบ่งเงินบางส่วนมาส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี 20.9%ของ GDP ซึ่งต่างกับประเทศไทยมีงบประมาณเพียง 0.2% ของ GDP (ข้อมูลฉบับเต็มอยู่ที่ภาพข้างล่างค่ะ) จากตัวเลขก็คงรู้แล้วว่าทำไมสิงคโปร์พัฒนาไปเร็วกว่าเรามากมาย ถ้าเรามีการวิจัยและพัฒนามากขึ้นก็จะทำให้เรามีเทคโนโลยีใหม่ๆที่มีประโยชน์ออกมาพัฒนาประเทศมากขึ้น ในภาพรวมระดับประเทศเราคงเข้าไปแก้ไขไม่ได้ แต่สิ่งที่เราจะทำได้ คือ การเริ่มต้นที่ตนเอง เพราะการพัฒนาความรู้ให้ตนเองนั้นจะเป็นการสร้างโอกาสต่างๆต่อไปในอนาคต
การลงทุนกับความรู้ กระหายที่จะรู้ตลอดเวลา(ไม่เกี่ยวกับเรื่องของชาวบ้านนะคะ่) มันจะทำให้เราไม่ล้าหลัง รู้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลกเพื่อที่เราจะได้ปรับตัวทัน และสามารถพัฒนาตนเองไปข้างหน้าได้ เพราะการเรียนรู้นั้นเรียนทั้งชีวิตก็ไม่มีวันหมด ก่อนที่เราจะลงทุนในส่วนของ "การออมความรู้" เราก็ต้องมีการวิเคราะห์ SWOT ของตนเอง เพื่อที่ว่าเราจะได้พัฒนาให้ตรงจุด เพราะถ้าเราไม่มานั่งวิเคราะห์ก่อนเบื้องต้นแล้วพัฒนาจุดด้อยที่ไม่มีวันเป็นจุดเด่นได้ก็จะทำให้เราเสียเงินและเสียเวลามากๆ
SWOT เป็นสิ่งที่นำมาประเมินสภาพแวดล้อมต่างๆเพื่อสร้างกลยุทธ์ในองค์กรว่าจะพัฒนาองค์กรให้เติบโตไปได้อย่างไร ซึ่งเราจะนำมาดัดแปลงนำมาวิเคราะห์ตนเอง คือ
S-Strengths คือ จุดแข็งของเราที่โดดเด่น มีความเชี่ยวชาญ มีความถนัด
W - Weaknesses คือ จุดอ่อนของเราที่ทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จ
O - Opportunities คือ โอกาสเป็นปัจจัยภายนอกที่สามารถทำให้เราประสบความสำเร็จ
T - Threats คือ อุปสรรคเป็นปัจจัยภายนอกที่ขัดขวางเราไม่ให้ประสบความสำเร็จ
สรุปว่า SW เป็นการวิเคราะห์ภายในตัวเราที่สามารถพัฒนาและเปลี่ยนแปลงได้ และ OT เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมรอบๆตัวเราซึ่งเราไม่สามารถเข้าไปแก้ไขอะไรได้ เพียงแต่ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานะการณ์
ตอนนี้คุณคงกำลังคิดอยู่ใช่ไหมคะว่าจะวิเคราะห์ SWOT ของเราคืออะไร??
เรื่องนี้อาจจะเริ่มต้นที่เรานั่งพิจารณาและให้คนใกล้ชิดของเราช่วยกันค้นหา วิธีคิดนั้นก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงก็ขอเริ่มที่วิธีการที่เราช่วยหาจุดเด่นและจุดด้อยของคนใกล้ตัวของเราเล่าให้ฟังเพื่อแบ่งปันวิธีการคิดนะคะ เรื่องมีอยู่ว่าน้องชายของเราต้องการสร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัวโดยพยายามจะนำของมาขาย เช่น บัตรเติมเงิน กระทงประดิษฐ์จากข้าวโพด ฯลฯ แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะทางบ้านไม่อนุญาิตให้ทำ เพราะมองดูแล้วว่าไม่คุ้มกับการลงทุนและน้องชายไม่ชำนาญทางด้านการขาย เช่น ถ้าสั่งสินค้าที่ใช้ได้เฉพาะฤดูกาลมาขาย(เช่นลอยกระทง) ถ้าของนั้นขายไม่หมดก็จะต้องเป็นต้นทุนจม ถ้าเก็บสินค้าไว้ขายปีต่อไปอาจจะเกิดความเสียหายต่อตัวสินค้าจนไม่สามารถจำหน่ายได้ เราก็สังเกตพฤติกรรมของน้องชายว่าชอบทำอะไร มีบางอย่างที่น่าทึ่งเพราะเราก็ไม่คิดว่าน้องชายจะทำได้ นั่นคือ ดอกไม้ประดิษฐ์จากถุงน่อง ซึ่งมีคนมาสอนในโรงพยาบาลที่น้องทำงานก็ไปนั่งเรียนแล้วลองหัดทำ
ผลงานชิ้นนี้ชื่อว่า "ต้นคูณ"
เรา : ทำไมไม่ทำงานประดิษฐ์แบบนี้ขายหละ ??
น้องชาย : อืม...ไม่อยากทำเพราะว่างานแบบนี้ใช้เวลาทำนานมาก (แล้วน้องก็ทำท่านั่งคิดแบบคิ้วขมวดกันสามรอบจนเค้นคำตอบได้อีกอย่างนึง)อารมณ์อยากทำมันก็ไม่ได้มีตลอดเวลา
เรา : ก็ทำแบบ made to order หรือทำแบบตามใจฉัน แล้วค่อยมาถ่ายรูปขายทางอินเตอร์เน็ตก็ได้ เขียนเรื่องราวของแรงบันดาลใจที่ทำเพื่อให้สิ่งของที่เราทำมีเรื่องเล่าจะทำให้คนสนใจมาก และผู้ชายก็ทำงานประดิษฐ์แบบนี้ได้ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย
หลังจากการสนทนากันจบแล้ว เราก็มีหน้าที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับน้องในทุกๆช่องทางที่พี่คนนึงสามารถทำได้ เราจึงไปขุดบล็อกเก่าที่เราเคยเขียนเรื่องงานแฮนด์เมดของตัวเองมาเขียนให้กับน้องชาย หลังจากนี้ไปก็เป็นเรื่องของโชคชะตา ถ้าผลงานนี้ไปถูกใจใครสักคนก็อาจจะมีการทำขายจริงๆก็ได้ การลองทำงานอดิเรกก็อาจจะเป็นงานประจำในอนาคตก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ ซึ่งการทำงานอดิเรกก็เป็นการออมความรู้อย่างนึง
เราลองวิเคราะห์ SWOT จากเรื่องข้างต้นว่ามีอะไรบ้าง
- S คือ จุดแข็ง
- เป็นเรื่องของการชอบคิดประดิษฐ์ประดอย มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบคิดสิ่งแปลกใหม่ ไม่ชอบทำงานซ้ำๆกัน มีความอดทนที่จะทำงานนั้นให้เสร็จลุล่วง
- W คือ จุดอ่อน
- ระยะเวลาทำแต่ละชิ้นใช้เวลานาน ความต้องการทำนั้นขึ้นอยู่กับสภาวะทางอารมณ์ ถ้าอยู่ในช่วงที่คิดอะไรไม่ออกก็จะไม่สามารถผลิตผลงานได้ กำลังการผลิตไม่เพียงพอที่จะทำในปริมาณที่มากๆ
- O คือ โอกาส
- ช่องทางการขายและช่องทางสร้างการรับรู้ในตัวสินค้าที่แพร่หลายจากอัตราการเติบโตของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต ถ้ามีการทำสื่อที่ดีก็จะทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อสามารถค้นหาเราเจอ
- T คือ อุปสรรค
- รสนิยมและความชื่นชอบของผู้ซื้อดอกไม้ประดิษฐ์ เพราะในตลาดมีดอกไม้ประดิษฐ์ที่ทำมาจากวัสดุหลากหลายรูปแบบ
วิธีคิดข้างต้นก็เป็นเพียงจุดเริ่มให้เกิดการต่อยอดไปหลายๆทางว่าจะทำอย่างไรให้ผลงานนี้มีโอกาสเป็นที่รู้จักโดยใช้สื่ออินเตอร์เน็ตให้เป็นประโยชน์ เสริมจุดแข็งโดยการพัฒนาผลงานให้หลากหลาย ลบจุดด้อยโดยใช้เรื่องระยะเวลาที่ทำนานๆให้เป็นจุดเด่นแทนที่จะคิดว่าเป็นจุดอ่อน โดยใช้คอนเซ็ปว่า "คุณค่าของการรอคอย" เพราะผลงานบางอย่างคุณค่าไม่ได้อยู่ที่ทำเร็วๆแต่อยู่ที่ความคิดสร้างสรรค์มากกว่า สิ่งดีๆอยู่ใกล้ตัวเราเสมอเพียงแต่ว่าเราจะเห็นและสร้างประโยชน์จากมันได้รึเปล่า คราวนี้ก็เป็นเรื่องของคุณแล้วหละคะ ที่จะต้องมาวิเคราะห์ SWOT ของตนเองเพื่อสร้างโอกาสให้กับตนเองในอนาคต
การออมความรู้ที่พัฒนาตนเองได้ง่ายที่สุด คือ การอ่านหนังสือ อ่านเพื่อพัฒนาตนเอง อ่านเพื่อเพิ่มพูลความรู้โดยนำมาต่อยอดความคิด ผลิตสิ่งดีๆให้กับตนเองและคนรอบข้าง บางคนอ่านถึงตรงนี้ก็อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆก็อ่านหนังสือออก แต่มันจะไม่ธรรมดาถ้าคนที่อ่านหนังสือไ่ม่ออกเป็นโค้ชกีฬาฮอคกี้บนลานน้ำแข็งที่โด่งดัง เรามาวิเคราะห์จุดเด่นและจุดด้อยของโค้ชคนนี้(อ่านเรื่องโค้ชคนนี้ได้ที่หนังสือข้างล่าง เราถ่ายรูปเนื้อหาไว้ทั้งหมดแล้ว) จุดเด่น คือ ความจำดี มีความอดทนสูงจุดด้อย คือ อ่านหนังสือไม่ออก (เพราะสมาธิสั้น) โค้ชคนนี้เลือกที่จะพัฒนาจุดเด่นของตนเองเพื่อให้กลบจุดด้อยของตนจนได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียง
"เรื่องธรรมดาก็ทำให้แตกต่างจากคนอื่นได้
เพียงแต่ว่าเราจะพัฒนามันต่อไปได้หรือเปล่า
ออมเงินก้อนต่อไปอย่าลืมแบ่งมาเพื่อพัฒนาจุดเด่นของเราบ้างนะคะ
แล้วผลที่ได้จะมีมูลค่าสูงกว่าดอกเบี้ยทบต้น"
========================================================
วีดีโอนี้เป็นโอกาสจากการเติบโตของอินเตอร์เน็ตที่ทำให้เราสามารถสร้างรายได้ในอนาคต ถ้าเรารู้อย่างนี้แล้วก็ควรเริ่มหันมาออมความรู้โดยการเข้าไปศึกษาและสร้างประโยชน์จากโซเชียลเน็ตเวิร์คกันนะจ๊ะ เพราะโอกาสที่มองเห็นมันจะเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อเรารู้ว่าจะต้องใช้มันอย่างไร
========================================================
วิธีค้นหาตัวตนจากการเขียนคำไว้อาลัย
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/11/blog-post_22.html
งดเหล้า เลิกบุหรี่ สุขภาพดีและมีเงินออม
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/11/blog-post.html
สร้างแรงบันดาลใจเป็นตัวเลข
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/10/blog-post_28.html
ภาพรวมของการวางแผนการเงินส่วนบุคคลมี 5 แผน
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/10/5.html
บทเรียนจากแบบฝึกหัดเขียน
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/10/blog-post_6.html
ความสามารถของเรามีมูลค่าเท่าไหร่??
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/10/blog-post.html
ประกันชีวิตหักลดหย่อนภาษี 200,000 บาท ตอนที่ 1/2
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/09/200000-12.html
ลูกจะมีวินัยทางการเงินหรือไม่นั้นต้องเริ่มจากพ่อกับแม่
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/08/blog-post_4.html
ต้นทุนชีวิต - มีมูลค่าเท่าไหร่
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/05/blog-post.html