วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

ภาพรวมของการวางแผนเกษียณ...ยิ่งเร็วยิ่งดี

อนาคตมันเป็นสิ่งไม่แน่นอนก็จริง แต่เราสามารถลดความไม่แน่นอนลงได้ด้วยการวางแผน วัยรุ่นหรือคนทำงานอายุไม่เกิน 40 จะมีใครบ้างที่เริ่มวางแผนเกษียณ มันยาวและไกลเกินไป แต่การวางแผนเกษียณนั้นยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี บางคนคิดว่าจะทำแต่ติดโน้นนี่นั่นเต็มไปหมดเลยยังไม่ทำ แต่บางคนไม่เคยคิดและไม่คิดจะทำเพราะปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต นั่นแหละชีวิตจะมีความไม่แน่นอนของจริง "อย่าลืมว่าอนาคตจะเกิดไม่ได้ถ้าเราไม่ทำในปัจจุบันนะค่ะ"

การคำนวนตัวเลขค่อนข้างที่จะยุ่งยากที่แปลงมูลค่าแหล่งของเงินหลังเกษียณเป็นมูลค่า ณ อายุที่เกษียณ เพื่อความง่ายจะไม่กล่าวถึงจุดนั้น ให้เราเข้าใจแนวคิดของการวางแผนเกษียณเป็นใช้ได้ นอกนั้นไปจ้างผู้เชี่ยวชาญวางแผนให้อีกทีนึงค่ะ ก่อนอื่นมาดูภาพรวมของการวางแผนเกษียณว่าเป็นอย่างไร เข้าในแนวคิดของการวางแผนเกษียณแล้วค่อยมาลงในรายละเอียด




อธิบาย "ภาพรวมของการวางแผนเกษียณ"
หมายเลข 1 เป็นจุดที่เรายืนอยู่ในปัจจุบัน ต้องดูว่าเรามีแหล่งของรายได้เพื่อเกษียณอะไรบ้าง และมีมูลค่าเป็นเท่าไหร่ ณ วันที่เราต้องการเกษียณ (หมายเลข 3) ซึ่งการออมเงินแต่ละรูปแบบก็จะมีวิธีการคิดแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข เช่น ถ้าเป็นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพก็ต้องมาดูว่าเราทำงานมากี่ปี มีการคงเงินในกองทุนหรือไม่ ถ้าไม่ถอนเงินออกจะได้เงินสมทบจากนายจ้างเท่าไหร่ หรืือ กบข.ก็ต้องมาดูว่าเป็นข้าราชการก่อนหรือหลัง 27 มีนาคม 2540 เพราะสูตรการคิดคำนวณก็แตกต่างกัน เป็นต้น การคำนวณนี้ต้องใช้เครื่องคิดเลขทางการเิงิน ถ้ามือถือใครโหลดแอพนี้ได้จะดีมากเลยค่ะ โหลดฟรีค่ะ ปุ่มที่เราจะใช้คือ สีเขียวกับสีเทาค่ะ



วิธีการกดเครื่องคิดเลข
ตัวอย่าง ตอนนี้นาย ก อายุ 30 ปี ถ้าเรามีเงินฝาก 1,000,000 บาท ได้รับดอกเบี้ย 3% และคาดว่าจะเกษียณอายุ 55 ปี เงินฝากจำนวนนี้จะมีมูลค่าเท่าไหร่ ณ วันเกษียณ

55-30 = 25  N ; 1,000,000 PV ; 3 I/Y  ; CPT  FV ==> 2,093,777 บาท

หมายความว่า เงินจำนวน 1,000,000 บาท ฝากธนาคารได้รับดอกเบี้ย 3% ในระยะเวลา 25 ปี เราจะได้เงิน ณ วันที่เราเกษียณ  2,093,777 บาท 

หมายเลข 2 เมื่อเราเกษียณแล้วจะมีค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพหลังเกษียณเท่าไหร่ การคำนวณเงินที่ต้องการเมื่่อเกษียณมีการคำนวน 2 วิธี ซึ่งในทางปฏิบัติวิธีที่ 1 เหมาะกับช่วงที่ยังอายุไม่มาก ส่วนวิธีที่ 2 เหมาะกับคนที่ใกล้จะเกษียณอายุ เนื่องจากสามารถประมาณการค่าใช้จ่ายในช่วงใกล้เกษียณได้ใกล้เคียงความจริงที่สุด วิธีคำนวณดังนี้ค่ะ

1. Income Method (Replacement Ratio Method) วิธีการนี้จะประมาณการว่าเราต้องการมีเงินได้เป็นสัดส่วนเท่าใดในปีแรกที่เกษียณ โดยเปรียบเทียบกับเงินได้ที่ไ้ด้ัรับก่อนเกษียณ เพื่อให้มีสภาพการดำรงชีพในปีแรกที่เกษียณตามที่ตั้งใจ โดยทั่วไปสัดส่วนของเงินได้ในปีแรกที่เกษียณจะอยู่ที่ 50-70% ของเงินได้ก่อนเกษียณ เป็นสัดส่วนที่ไม่ตายตัว ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงินของเราเป็นหลัก แต่ถ้าหากว่าเราใช้สัดส่วนที่ต่ำเกินไปอาจจะต้องประสบปัญหาที่มีเงินไม่เพียงพอตลอดการเกษียณ วิธีการคำนวณนี้เป็นวิธีที่ง่ายเพราะมีข้อมูลที่ใช้ในการคำนวณ ใช้ END Mode 

ตัวอย่างวิธีคำนวณ 
นาย ก อายุ 30 ปี มีเงินเดือนๆละ 45,000 บาทเป็นรายได้ปีละ 540,000 บาท โดยวางแผนเกษียณในอีก 25 ปีข้างหน้า อัตราการเพิ่มของรายได้เฉลี่ย 5% ต่อปี ดังนั้น รายได้ที่นาย ก จะได้รับในอีก 25 ปีข้างหน้ามีจำนวนเท่าใดและ replacement ratio = 70%

25 N ;  540,000 PV ;  5 I/Y ;  CPT  FV      ==> 1,828,631
Replacement Ratio = 70%                           ==> 1,828,631 x 0.7 = 1,280,042

หมายความว่า นาย ก มีรายไ้ด้ที่จะได้รับในอีก 25 ปีข้างหน้าคือ1,828,631 และถ้านาย ก ต้องการมีรายได้ในปีแรกที่เกษียณเท่ากับ 70% ของรายได้ก่อนเกษียณ ดังนั้น เป้าหมายรายได้ของนาย ก ที่ต้องการนำไปใช้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตหลังเกษียณต่อปี คือ 1,280,042 บาทต่อปีหรือ 106,670 บาทต่อเดือน  

2.Expense Method วิธีการนี้จะประมาณการค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีแรกที่เกษียณ โดยการนำรายการค่าใช้จ่ายต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบันมาคาดการณ์ว่ามีมูลค่าเท่าใดเมื่อเกษียณอายุ โดยเปรียบเทียบทีละรายการ ว่าค่าใช้จ่ายประเภทใดที่จะเพิ่มขึ้นหรือค่าใช้จ่ายใดที่จะลดลงเมื่อเกษียณอายุ ซึ่งต้องสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินและรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เราต้องการด้วย ในการประมาณการค่าใช้จ่ายเมื่อเกษียณนั้นต้องปรับรายการค่าใช้จ่ายด้วยอัตราเงินเฟ้อ และต้องปรับเครื่องคิดเลขให้เป็น BGN Mode นะค่ะ เพราะรายจ่ายจะเกิดต้นงวด ทั้งนี้การตัดสินใจว่าค่าใช้จ่ายใดจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ต้องขึ้นอยู่กับรูปแบบการดำเนินชีวิตและพื้นฐานการดำเนินชีวิตของเราด้วย


* จดบันทึกรายรับรายจ่ายมีประโยชน์ตรงนี้เพราะเราจะมีข้อมูลในการคำนวนที่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตามมีค่าใช้จ่ายหลายประเภท เช่น การท่องเที่ยว การพักผ่อนหย่อนใจอาจจะมีสัดส่วนที่สูงในช่วงแรกของการเกษียณ แต่จะเปลี่ยนแปลงลดลงในช่วงหลังๆ ส่วนค่ารักษาพยาบาลมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นโดยตลอด 

หมายเหตุ * หารอยรั่วจากการจดบันทึก http://pajareep.blogspot.com/2012/05/blog-post_13.html 

หมายเลข 3 นำหมายเลขที่ 1 (แหล่งของเงินเพื่อวัยเกษียณ) มาลบกับหมายเลข 2 (การคำนวนรายได้หรือรายจ่ายช่วงหลังเกษียณ) พูดง่ายๆคือว่า เงินเก็บที่เรามีอยู่เพียงพอกับการใช้จ่ายหลังเกษียณของเราหรือไม่ 


วิธีคำนวน
1. ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตหลังเกษียณต่อปี คือ 1,280,042 บาท (PMT) (มาจากหมายเลข 2
2. สมมติให้ อายุเฉลี่ย 85 ปี ดังนั้น ช่วงอายุก่อนเสียชีวิต 30 ปี (N)
3. สมมติให้ อัตราผลตอบแทนคาดหวังจากการลงทุนหลังเกษียณหลังหักภา๊ษี 5%
4. สมมติให้ อัตราเงินเฟ้อ 3%
5. จากข้อ 3,4 คิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ปรับด้วยเงินเฟ้อ (I/Y) 
         5.1 นำเลข 1.05 / 1.03  = 1.0194
         5.2  (1-1.0194) x 100   = 1.9417% ใช้ตัวเลขนี้ในการคำนวณ
6. การกดเครื่องคิดเลขให้ปรับเป็น BGN Mode 
7. กดเครื่องคิดเลขดังนี้  1,280,042 PMT ; 1.9417 I/Y ; 30 N ; CPT PV = 29,460,699 บาท

หมายความว่า จากการคำนวนโดยวิธี Income Method ค่าใช้จ่ายที่เราต้องการใช้หลังเกษียณต่อปีคือ 1,280,042 บาท ถ้าอายุเฉลี่ยที่ 85 ปี เรามีเวลาใช้เงิน 30 ปี ต้องใช้เงินเพื่อใช้จ่ายทั้งหมด 29,460,699 บาท ดังนั้นถ้าเรามีแต่เงินฝาก 1 ล้านบาทเพียงอย่างเดียว(หมายเลข 1) จะเป็นมูลค่า ณ อายุ 55 เท่ากับ 2,093,777 บาท ดังนั้นคุณต้องออมเงินเพิ่มอีก 29,460,699 - 2,093,777 = 27,366,922 บาท 

จากตัวอย่างอาจจะดูโหดร้ายไปหน่อย ทั้งที่ในความจริงแล้วแหล่งของเงินในหมายเลข 1 เราก็ต้องมีเงินในส่วนอื่นอีก เช่น เงินประกันสังคม เงินประกันชีวิต กองทุนรวม กบข. หุ้นสามัญ เงินฝากประจำ RMF LTF ฯลฯ เราก็ต้องคำนวนทั้งหมดที่มีเป็นมูลค่าเงิน ณ ปีที่เกษียณ(เช่น อายุ 55 ปี)  เพื่อมาดูว่าเงินที่จะใช้เป็นรายจ่ายในอนาคตเพียงพอหรือไม่ ก็ต้องมาคำนวณว่าก่อนเสียชีวิตเราต้องใช้เงินเท่าไหร่ตามหมายเลข 2 จากนั้นก็นำมาลบกัน 

==> ถ้าหมายเลข  1 มากกว่าหมายเลข 2 แสดงว่าแหล่งของเงินออมนั้นมีมากกว่ารายจ่ายที่เราจะใช้หลังเกษียณ เรามีเงินเหลือและสามารถมีมรดกเหลือไว้ให้ลูกหลานด้วย
==> ถ้าหมายเลข  1 น้อยกว่าหมายเลข 2 แสดงว่าแหล่งของเงินออมนั้นมีน้อยกว่ารายจ่ายที่เราจะใช้หลังเกษียณ ดังนั้นต้องออมเงินเพิ่ม ควบคุมรายจ่ายให้ได้ ไม่อย่างนั้นตอนเกษียณไม่สนุกแน่ๆ

ในบางครั้งเราคิดว่าเงินเก็บที่มีและเงินสวัสดิการที่ได้คงใช้พอหลังเกษียณ มันไม่แน่เสมอไป ใครจะไปรู้ว่าพ่อแม่เกษียณต้องมาช่วยลูกผ่อนรถยนต์ มีรายจ่ายที่คาดไม่ถึงอีกมากมาย บางคนนำเงินจากอนาคตมาใช้ เช่น การใช้บัตรเครดิต ตอนนี้อายุ 30 ปีแต่อาจจะนำเงินตอนอายุ 33 ปีมาใช้แล้วก็ได้ การสร้างหนี้ก็มีประโยชน์ถ้าเงินที่สร้างหนี้นั้นเอาไปลงทุนในผลงอกเงย แต่ถ้าสร้างหนี้เพื่อมาบำเรอความสุขเพียงชั่วคราว เพื่อประกาศให้คนอื่นรู้ว่าตนเองร่ำรวยทั้งที่ความจริงแล้วกลวง มันน่าหัวเราะมากกว่า เมื่อหลายปีก่อนมีโจรขึ้นมาขโมยทรัพย์สินของเพื่อนบ้าน เจ้าของบ้านกลับมาถึงก็ตรงเข้าไปรื้อกองผ้าขี้ริ้วใหญ่เลยเพื่อหาอะไรบางอย่าง หลังจากตรวจสอบแล้วพบว่าทรัพย์สินมีค่าหายไปรวมกันแล้วไม่กี่หมื่นบาทส่วนทองคำที่ถูกห่อด้วยผ้าขี้ริ้วหลายสิบบาทโจรไม่ได้ขโมยไป พึ่งเข้าใจคำว่าผ้าขี้ริ้วห่อทองก็วันนี้เอง   

                                 "ความสุขหลังเกษียณมีได้ง่ายๆแค่วางแผนตั้งแต่ตอนนี้" 


บทความน่าสนใจ

สร้างเงินล้านได้จากเงินสะสม 6,209 บาท
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/09/6209.html

ลูกจะมีวินัยทางการเงินหรือไม่นั้นต้องเริ่มจากพ่อกับแม่
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/08/blog-post_4.html

บัตรเครดิตที่เราต้องรู้
 ==> http://pajareep.blogspot.com/2013/07/blog-post.html

รู้อะไรไม่สู้ "รู้งี้" กับการวางแผนเกษียณ
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/06/blog-post.html

ต้นทุนชีวิต - มีมูลค่าเท่าไหร่
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/05/blog-post.html

เงินฝากเขย่าโลก
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/04/blog-post_20.html

แหล่งเก็บเงินที่ปลอดภัยนั้นไม่มีจริง!!
==> http://pajareep.blogspot.com/2013_04_01_archive.html

แบ่งเงินออมมาเก็บดอลล่าร์กันดีกว่า
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/03/blog-post_25.html

ทิศทางการตลาดเพื่อดูแนวโน้มหุ้นแห่งอนาคต

บทเรียนในความมืดกับการวางแผนการเงิน
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/02/blog-post_24.html

ร่ำรวยจากสิ่งที่มี

การเงินส่วนบุคคล ตอน การวิเคราะห์การออมและการลงทุน
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/02/blog-post.html





==============================================================

เกษียณก่อน.. ลำบากก่อน..


ผมได้อ่านบทความเรื่อง “The Benefits of Retiring later” ซึ่งแปลตามความได้ว่า “ประโยชน์ของ..การเกษียณช้า” ซึ่งผมคิดว่ามีประโยชน์มาก

จึงอยากนำมาให้คุณผู้อ่านได้อ่าน อย่างไรก็ตาม เนื้อหาดังกล่าวค่อนข้างจะไม่เข้ากับสังคมไทยเอาเสียเลย ดังนั้น ผมจึงขอยกกรณีศึกษาของคนที่ผมรู้จักซัก 2 เรื่อง โดยจะใช้นามสมมุติ ดังนี้ครับ 
เรื่องที่หนึ่ง “ศักดิ์ชัย” ตั้งบริษัทของตนเองขึ้นมา และทำงานในบริษัทตนมานานถึง 30 ปี เขาเกษียณอายุเมื่ออายุได้ 60 ปี พร้อมกับเงินเก็บ 7.5 ล้านบาท ศักดิ์ชัยใช้จ่ายเงินเพื่อตนเองและครอบครัวปีละ 750,000 บาท แต่เขาก็สามารถทำให้เงินของเขางอกเงยขึ้นได้บ้าง ภายหลังพบว่า ศักดิ์ชัยได้ถอนเงินออกมาทุกปี พอครบ 14 ปี เงินของศักดิ์ชัย 7.5 ล้านบาท ก็..หมดลง ทุกวันนี้ชีวิตของศักดิ์ชัยต้องพึ่งโครงการ “30 บาท รักษาทุกโรค” เงินเก็บส่วนตัวไม่มีเหลือเลย จึงต้องขอเงินจากลูกหลานและญาติมิตร ลูกหลานญาติมิตรเริ่มทำตัวออกห่างมากขึ้นเรื่อยๆ มีเพียงภรรยาที่ไม่มีเงินเหมือนกันเป็นเพื่อน แต่ชีวิตก็..ลำบาก..และเครียด
เรื่องที่สอง “อัจฉรา” เป็นอาจารย์และเป็นโสด แม้ว่าเธอได้เกษียณตอนอายุ 60 ปีไปแล้ว แต่เธอก็ยังคงทำงานด้านการศึกษาต่อไป อัจฉราทำงานจนถึงอายุ 75 ปี เธอจึงยอม..เกษียณอย่างแท้จริง และพบว่าในวันที่ตัวเธอเกษียณอายุ ตัวเองมีเงินเก็บ 4.5 ล้านบาท อัจฉราก็นำเงินไปลงทุนและฝากเงินเช่นเดียวกับศักดิ์ชัย เธอมักจะถอนเงินออกมาเพื่อใช้จ่ายส่วนตัวและสุขภาพปีละ 200,000 บาท ด้วยความประหยัด มัธยัสถ์ และอดออม ทุกวันนี้อัจฉราก็ยังคงใช้ชีวิตเรียบง่ายโดยไม่ได้โดดเดี่ยวเดียวดาย อัจฉรามีเพื่อนฝูงที่เป็นโสดจนเกษียณมากมาย อัจฉราเป็นคนชอบให้ของขวัญลูกหลาน อัจฉราเป็นคนชอบทำบุญ จึงไม่ต้องเป็นห่วงว่า ชีวิตของอัจฉราจะไม่มีคนไปมาหาสู่เธอเลย ชีวิตคนโสดจนเกษียณของ “อัจฉรา” จึงดูเหมือนว่า..จะมีความสุขมากกว่าชีวิตของ “ศักดิ์ชัย”
หลังจากอ่านชีวิตของทั้งสองคนไปแล้ว หากเราลองคิดดูว่า อะไรที่ทำให้ชีวิตของ “ศักดิ์ชัย” และ “อัจฉรา” แทบจะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน ผมเองมีข้อสังเกต 2 ประการ ดังนี้ครับ 
หนึ่ง ปัจจุบัน..คนมีอายุมากขึ้น 
ด้วยพัฒนาการทางด้านอาหารและเวชภัณฑ์ ก็ทำให้ผู้คนมีอายุมากขึ้นโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และทำให้โลกใบนี้มีคนแก่มากขึ้น..และมากขึ้น ตัวเลขจาก Wikipedia พบว่า เมื่อประมาณหนึ่งร้อยปีก่อน อายุเฉลี่ยของคนทั่วโลกอยู่ที่ 31 ปี แต่ทุกวันนี้อายุเฉลี่ยของคนทั่วโลกอยู่ที่ 67.2 ปี นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่า “คนแก่” กำลังจะ..ล้นโลก ในขณะที่ “คนหนุ่มสาว” ในวัยทำงานกำลังจะ..ลดลง ภาระอันหนักหน่วงจึงไปตกอยู่กับคนหนุ่มสาวในปัจจุบัน ที่คงจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อนำไปเป็นสวัสดิการสังคมให้กับคนแก่ อย่างไรก็ตาม สวัสดิการสังคมดังกล่าวคงไม่พอเพียงกับจำนวนประชากรของ “คนแก่” ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน 
ปัจจุบันนี้ จึงพบว่า “คนแก่” มักจะต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนหาเลี้ยงชีพให้แก่ตนเองเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะถูกสังคมและลูกหลานค่อยๆ...ทิ้งไป
สอง วางแผนการเงิน 
จากการประมาณการเบื้องต้นพบว่า หากศักดิ์ชัยทำงานต่ออีก 5 ปี ไม่คิดที่จะ “เกษียณก่อน.. ลำบากก่อน..” แล้ว คุณภาพชีวิตของศักดิ์ชัยก็จะดีขึ้น เพราะเงินเหลือเก็บก็จะมีมากขึ้น เนื่องจากศักดิ์ชัยไม่ต้องผ่อนบ้าน ..ไม่ต้องผ่อนรถ ..และไม่ต้องผ่อน “ค่าลูก” ซึ่งคาดว่าเงินเหลือเก็บก็จะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่ทำงานเพิ่ม หากศักดิ์ชัยทำงานเพิ่มขึ้น 5 ปี จึงมีเงินเหลือเก็บเพิ่มขึ้นอีก 5 ปี ดังนั้น ศักดิ์ชัยจะมีเงินเหลือเก็บ 14+5+5 = 24 ปี ศักดิ์ชัยก็อาจจะใช้เงินหมดเมื่ออายุ 60+24 = 84 ปี ศักดิ์ชัยจึงมีแนวโน้มที่จะใช้ชีวิตที่ดีขึ้น แต่หากศักดิ์ชัยเลือกเกษียณอายุเพิ่มขึ้นอีก จะเป็นดังนี้ เกษียณที่ 70 ปี..จะมีเงินใช้ = 60+14+10+10 = 94 ปี และเกษียณที่ 75 ปี..จะมีเงินใช้ = 60+14+15+15 = 104 ปี ตามลำดับ คุณภาพชีวิตของ “ศักดิ์ชัย” ก็จะยิ่งดีขึ้นไหมครับ? 
ผมเคยเขียนบทความที่ชื่อ “8 วิธีที่จะทำให้รวยก่อนเกษียณ” (อ่านได้ที่ http://www.doctorwe.com/variety/20120805/2976) โดยพูดถึงวิธีที่ว่า “ชีวิตนี้..ไม่มีวันเกษียณ” ไว้ว่า ในชีวิตของคนเรานั้น เราต้องพยายามที่จะ “กำหนดชีวิต” ของเราเองให้ได้ นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ และรัฐบุรุษแห่งสิงคโปร์ นายลี กวนยู ก้าวลงจากตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2544 ในเวลานั้น เขามีอายุถึง 87 ปี ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เขาสามารถ “กำหนดเวลาเกษียณ” ของเราเองได้ 
คุณหมอประสพ รัตนากร ผู้ริเริ่มงานด้านสุขภาพผู้สูงอายุและชมรมผู้สูงอายุทั่วประเทศ และก่อตั้งสมาคมวิชาชีพทางสุขภาพจิต ประสาทวิทยา จิตเวชศาสตร์ และสังคมวิทยา คุณหมอจัดรายการ “ใจเขาใจเรา” ทางวิทยุและโทรทัศน์มากว่า 50 ปี คุณหมอทำงานต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 92 ปี และเพิ่งจะจากพวกเราไปในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งหมดก็แสดงให้เห็นว่า คุณหมอก็สามารถ “กำหนดวันเกษียณของตัวเอง” ได้
ทำให้นึกถึง เซอร์ พอล แมคคาร์ทนี (Sir Paul McCartney) หนึ่งในนักดนตรีวงเดอะบีทเทิลส์ที่เคยสร้างผลงานไว้อย่างโด่งดังไปทั่วโลก เขากล่าวถึง..ชีวิตเกษียณ ไว้ว่า “Why would I retire? Sit at home and watch TV? No thanks. I'd rather be out playing.” แปลตามความได้ว่า “ทำไมผมต้องเกษียณด้วยล่ะ? ให้นั่งอยู่บ้านและดูทีวีไปเรื่อยๆ..ผมไม่เอาหรอก ผมเลือกที่จะออกไปเล่นดนตรีเสียดีกว่า” แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ..จะรีบเกษียณตัวเองไปทำไม?

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

TFEX เล่นแบบไหนได้เงิน & เล่นแบบไหนได้น้ำตา




เคยคิดเล่นๆว่าสิ่งที่เราเีรียนรู้จากโลกตะวันตกที่เค้าเรียกตัวเองว่าประเทศที่พัฒนาแล้วและเรียกเราว่าประเทศกำลังพัฒนามันดีจริงๆรึเปล่า ศูนย์กลางทางการเงินของโลกก็ต้องเป็นศูนย์กลางของบุคคลที่มีความรู้ความสามารถด้วยเช่นกัน ก็แปลกดีนะที่สิ่งดีๆอยู่ด้วยกันมันน่าจะมีอะไรดีๆตามมาซิ แล้วซับไพรม์จะเกิดได้ยังไง และถ้ามันดีจริงจนกระทั่งมาเค้าสอนเราได้ แล้วทำไมเค้าถึงเอาตัวเองไม่รอด หนังสือเล่มนี้น่าจะพอตอบได้ ลองหาอ่านดูนะค่ะ




การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ซับซ้อนมาพร้อมกับความโลภที่ไม่สิ้นสุดของมนุษย์ แม้ว่าอาชีพของบางท่านที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเงินก็ต้องเรียนรู้ไว้เพราะอาจจะมีผลต่ออาชีพของคุณทางอ้อมก็ได้นะค่ะ  เพื่อต้อนรับโลกที่การเงินหมุนไวเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ความโลภที่มาพร้อมกับความไม่รู้ว่าอะไรคือความเสี่ยงนั้นเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้อย่างยิ่ง ใช่ค่ะดิฉันกำลังพูดถึง TFEX ซึ่งเป็นตัวหนึ่งที่มีความเสี่ยงสูงสำหรับประเทศไทยในตอนนี้ โดยหลักการว่า TFEX คืออะไร ใช้งานอย่างไร มีกลยุทธ์การเ่ล่นอย่างไร ในเว็ปของตลาดหลักทรัพย์และในหนังสือมีให้อ่านอยู่มากมายในที่นี่ไม่ขอกล่าวถึง แต่จะเล่าถึงประสบการณ์ที่ได้พบเห็นเพื่อเป็นบทเรียนให้กับคนใหม่ๆที่กำลังจะก้าวเข้ามาว่ามันดุเดือดแค่ไหน เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นเวลาเราเจอเองจะได้ไม่ตื่นเต้นว่าเราเป็นเดียวที่โชคร้าย เพราะคนอื่นก็เป็นเหมือนกัน ไม่ใช่ตลาดที่โหดร้ายแต่เป็นความโลภและความอยากเอาชนะของเราต่างหากที่ทำร้ายระบบการลงทุนของเราเอง

* หมายเหตุ ขอขอบพระคุณกรณีศึกษาจากบุคคลรอบตัว เพราะคุณได้ให้ความรู้กับคนใหม่ที่กำลังจะก้าวเผชิญกับความเสี่ยงที่ไม่มีในทฤษฎี ( ^ // \\ ^ )

TFEX เล่นแบบไหนได้เงิน & เล่นแบบไหนได้น้ำตา
STOP ORDER
ถ้าใครเล่น Gold Futures เมื่อประมาณปี 54 ก็จะทราบว่าราคาทองมันขาขึ้น ขึ้นและก็ขึ้น ถ้าใครสะสมสถานะ Long  ไว้ตลอดก็จะอิ่มกับผลตอบแทนกันจนพุงปลิ้น นักลงทุนบางคนนำเงินมาลงทุนเป็นเลข 7 หลักก็ได้กลับไปเป็นเลข 10 หลัก  ยิ่งมั่นใจมากขึ้นทักษะการฟังจะเริ่มถดถอย จนสุดท้ายกลายเป็นความประมาท จากแต่ก่อนทำทุกอย่างตามกฎที่ตั้งไว้ว่าตั้ง Stop order ก็เริ่มไม่ตั้ง ในช่วงปลายปีราคาทองค่อนข้างผันผวน โดยเฉพาะช่วงกลางคืน บางคนตื่นขึ้นมาเติมเงินแทบไม่ทันหรือถูกบังคับขายไปเลยก็มีสุดท้ายพอร์ตการลงทุนนี้ก็กลับไป ณ จุดที่เคยนำเงินมาลงทุน แบบนี้ยังดีที่เงินกลับมาถึงทุนเดิม แต่บางรายไม่เป็นเช่นนั้น รู้ว่าผิดทิศผิดทางก็ทำใจยอมรับไม่ได้ หมั่นเติมเงินทุกวี่ทุกวัน สุดท้ายก็ได้น้ำตาพร้อมด้วยหนี้สินกลับเป็นผลตอบแทน

==> ถ้าเรามั่นใจวินัย Stop Order  เมื่อเรามั่นใจในแนวโน้มก็เปิดสถานะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแต่อย่าลืมว่าเราก็ต้องเปลี่ยนตัวเลขของการตั้ง Stop Order ด้วยเช่นกัน เครื่องมือที่ป้องกันการขาดทุน Stop Order ควรตั้งให้เป็นนิสัยเพื่อป้องกันเราจากการขาดทุน ทั้งนี้รบกวนวางเงินให้มากกว่า IM 2 เท่าจะได้ไม่ตื่นเต้นจากความผันผวนของตลาด ทางที่ดีควรลงทุนเฉพาะจำนวนเงินที่มี ไม่ต้องกลัวจะรวยช้าเพราะถ้าเราไม่ตั้งกฎให้ตัวเองไว้ว่าเล่นเฉพาะเงินที่มี พอเกิดผิดทางเราก็จะเติมเงินเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะกลายเป็นจนเร็ว และถ้าลงทุนได้ตามเป้าหมาย........บาทก็ถอนเงินออกมาทำอย่างอื่นบ้าง วิธีการนี้ก็จะทำให้คุณรับรู้กำไร(ถอนเงินออก)และจำกัดขาดทุนได้ส่วนหนึ่ง(เล่นเฉพาะเท่าที่มี)

วิธีการ STOP ORDER

1. หน้าตาปกติของช่องเทรดอนุพันธ์


2. ใส่เครื่องหมายที่ช่อง STOP ORDER จะมีช่องที่ซ่อนไว้ปรากฏออกมา 
โดยที่เราจะเลือกที่ Condition  Last >= Stop Price หรือ Last <= Stop Price


3. สมมติว่าเรามองว่าหุ้นจะปรับตัวลงจึง Open Short  S50H13 940 จำนวน 1 สัญญา แต่หุ้นได้มีการปรับตัวไปในทิศทางตรงข้ามซึ่งขึ้นไปเรื่อยๆจนกระทั่ง 948 และมีแนวโน้มว่าจะขึ้นไปได้อีก ดังนั้นควรตั้ง Stop Order ไว้กันขาดทุนมากกว่านี้

   Stop Order ==> Close Buy(Long) S50H13 Condition Last >= 949 ก็จะโยนราคา 950 Matched ไปเลย 


4. สมมติว่าเรามองว่าหุ้นจะปรับตัวขึ้นจึง Open Long  S50H13 960 จำนวน 1 สัญญา แต่หุ้นได้มีการปรับตัวไปในทิศทางตรงข้ามซึ่งลงไปเรื่อยๆจนกระทั่ง 955 และมีแนวโน้มว่าจะขึ้นไปได้อีก ดังนั้นควรตั้ง Stop Order ไว้กันขาดทุนมากกว่านี้

   Stop Order ==> Close Sell(Short) S50H13 Condition Last <= 950 ก็จะโยนราคา 949 Matched ไปเลย 


 * จุดที่ตั้ง Stop Order ที่เท่าไหร่นั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของนักลงทุนแต่ละคน นอกจากจะตั้งคัทลอสแล้วยังสามารถตั้งรอเพื่อจะเปิดสถานะได้ด้วยค่ะ เช่น ตอนนี้ S50H13 อยู่ที่ 954 และคิดว่าถ้าสามารถทะลุเหนือ 960 ได้ก็จะขึ้นต่อ ดังนั้นก็ตั้งรอได้โดยที่ใช้ปุ่ม Stop Order ถ้า S50H13 >= 960 Open Long เมื่อหุ้นขึ้นไปถึงจุดที่เราตั้งไว้คำสั่งนี้จะถูกส่งไป Matched ค่ะ

ศึกษากราฟให้แม่นๆก่อนลงทุน
นักลงทุนบางคนอยากเล่น TFEX เพราะมีคนเล่าว่าได้เงินเร็ว(แต่ตอนเสียไม่เห็นเล่าให้ฟัง) บางคนอ่านบทวิเคราะห์ประกอบการดูกราฟได้ก็มีความสามารถผจญภัยไปกับความเสี่ยงของ TFEX ได้ แต่นักลงทุนบางคนดูกราฟไม่เป็นใช้ความรู้สึกตัดสินว่าหุ้นมันขึ้นมาเยอะแล้วน่าจะลงได้แล้วก็เปิดสถานะ SHORT เชื่อมั่นในความรู้สึกแบบนี้ก็สวัสดีความจนได้เลยค่ะ ทั้งนี้ต้องดูข้อมูลระดับมหภาคประกอบการตัดสินใจลงทุนด้วยเช่นกัน อย่างตอนนี้ QE3 จัดมาซะขนาดนี้ เงินบางแข็งต่ำกว่า 31 และมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ สินทรัพย์เสี่ยงเช่น หุ้น ทองคำ น้ำมันก็ยังลั้นลาในแนวบวกได้อย่างต่อเนื่อง เอาไว้ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากว่า 31 ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็มาลดการลงทุนในสินทรัพย์เสีี่ยง

==>เสียเวลาลับขวานก่อนตัดท่อนไม้โดยจากศึกษากราฟก่อนการลงทุนโดยอ่านหนังสือหรือเข้ารับการอบรม ดีกว่าใช้ขวานถือๆไปตัดท่อนไม้ สุดท้ายขวานบิ่นจนต้องไปซื้อขวานใหม่นะค่ะ



ขอให้โปรโมชั่นเป็นของแถมจากการลงทุน ไม่ใช่เป้าหมายของการลงทุน
การแข่งขันของธุรกิจหลักทรัพย์จะมาแข่งกันลดค่าคอมก็ไม่สนุกแน่ๆ เพราะไม่ยั่งยืน เลยต้องหันมาเสริมสร้างแรงจูงใจทางอื่นโดยการใช้การตลาดที่ใช้ของแถมเป็นแรงดึงดูดใจนักลงทุน ทั้งนี้ต้องดูเป้าหมายของนักลงทุนคืออะไร เช่น ลงทุนใน TFEX  เพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตหุ้นโดยเฉพาะเวลาหุ้นลงหนักๆก็ Short TFEX ก็จะไ้ด้กำไรจาก TFEX แทนแม้ว่าจะขาดทุนจากการถือหุ้นก็ตาม แต่พอเห็นโปรโมชั่นกระตุ้นการซื้อขายที่ยอดการเทรดสะสมถ้าซื้อจำนวนกี่สัญญาภายในกี่เดือนก็จะได้รับรางวัล ณ จุดนั้นเป้าหมายการลงทุนตั้งแต่แรกก็จะหายไปกลายเป็นการลงทุนเพื่อหวังของรางวัลทั้งที่ ในบางครั้งไปซื้อเองก็อาจจะถูกกว่า

สร้างหนี้เพื่อ TFEX (อย่าทำเลยเพราะจะยิ่งเจ็บกว่าเดิม)
บางครั้งการลงทุนผิดพลาดและยอมรับในขาดทุนไม่ได้ เช่น หุ้นอยู่ในภาวะขาขึ้นและขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไป SHORT เพราะไว้ใจความรู้สึก แล้วก็เพิ่มสถานะสวนตลาด เพราะคิดว่าสักวันมันต้องย่อลงมา อย่าลืมว่า TFEX มันมีกำหนดระยะเวลา ไม่ใช่ถือข้ามปีได้เหมือนหุ้น เมื่อ SHORT ไว้หุ้นยิ่งขึ้นก็ต้องยิ่งเติมเงิน เมื่อเงินเก็บหมดก็ต้องไปยืมคนอื่นมาบางครั้งก็ไปกู้มาเติมก็มี ขอถาม 3 คำ "เพื่ออะไร" มันก็เหมือนกับเชือกที่มีปมยิ่งแก้ก็ยิ่งรัดตัวเอง ยิ่งเรามีหนี้สินมากขึ้นเท่าไหร่ เซลล์สมองส่วนของการตัดสินใจก็ด้อยประสิทธิภาพลงเท่านั้น "สติมาปัญญาเกิด ถ้าสติเตลิดจะเกิดปัญหา" จัดมา !! รอบนี้ปัญหาล้วนๆ ขาดทุน TFEX พ่วงด้วยหนี้สินอีก รับรองได้ไปสงบสติในโรงพยาบาลแน่ๆเพราะโรคเครียด จำกัดขาดทุนโดยเล่นเท่าที่มีก็พอ หรือถ้าใครประสบปัญหาหนี้สินลักษณะนี้ รบกวนมีสติไม่ก่อหนี้เพิ่ม แล้วยอมรับซะว่าคุณไม่เหมาะกับตลาดนี้

"ขอสารภาพสิ่งที่ติดอยู่ในใจมานานจากสิ่งที่เห็นในตัวนักลงทุนรู้สึกเสียดายเงินแทนเค้าจริงๆ (รู้อยู่ว่าไม่ใช่เงินตัวเองแล้วจะไปเดือดร้อนทำไม) เพราะคิดว่าเงินจำนวนนั้นสามารถทำประโยชน์อย่างอื่นได้มากมาย บางคนลงทุนเป็นแสนกลับไม่ได้รับผลตอบแทนอะไรกลับมาเลย ในทางกลับกัน ถ้าเงินแสนนั้นไปสร้างคนโดยแจกเป็นทุนการศึกษาเด็กด้อยโอกาส สนับสนุนวงการกีฬาผู้พิการ ฯลฯ มันจะเป็นการสร้างสรรค์มากกว่าไหม ถ้าคุณได้ไปเห็นสภาพของเด็กต่างจังหวัดที่ขาดแคลนอุปกรณ์การเรียน คุณจะระมัดระวังในการลงทุนของตัวเองมากขึ้น ถ้าไม่เชื่อลองทำดูซิค่ะ" 



"ค่าของความเสี่ยงสามารถคำนวนเป็นตัวเลขได้ 
แต่ค่าของความโลภคำนวณโดยใช้ใจของเราเอง"


บทความน่าสนใจ 


วิธีค้นหาตัวตนจากการเขียนคำไว้อาลัย
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/11/blog-post_22.html

ความสามารถของเรามีมูลค่าเท่าไหร่??
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/10/blog-post.html

ประกันชีวิตหักลดหย่อนภาษี 200,000 บาท ตอนที่ 1/2
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/09/200000-12.html

ลูกจะมีวินัยทางการเงินหรือไม่นั้นต้องเริ่มจากพ่อกับแม่
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/08/blog-post_4.html

มีเงิน 5 หมื่นออมอะไรดี
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/07/5.html


บัตรเครดิตที่เราต้องรู้
 ==> http://pajareep.blogspot.com/2013/07/blog-post.html

รู้อะไรไม่สู้ "รู้งี้" กับการวางแผนเกษียณ
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/06/blog-post.html

เราทำงานเพื่ออะไร 
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/05/blog-post_27.html

ต้นทุนชีวิต - มีมูลค่าเท่าไหร่
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/05/blog-post.html

เงินฝากเขย่าโลก
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/04/blog-post_20.html






วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

แบบทดสอบความรวย


อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วน่าสนใจตรงที่ว่าให้ความรู้ในการดูแลเรื่องเงินๆทองๆ แบบที่เราสามารถพบเห็นได้รอบตัว ทุกคนสามารถทำได้ เขียนโดย ลาร์รี่ วาสซก้า และแปลโดย อรยา เอี่ยมชื่น ช่วงต้นของหนังสือเล่มนี้ได้ให้ทำแบบทดสอบว่าคุณมีคุณสมบัติของเศรษฐีหรือไม่ ซึ่งแบบทดสอบนี้ถูกออกแบบมาจากประสบการณ์ของลาร์รี่ วาสซก้าที่ได้พบว่าอุปนิสัยและคุณสมบัติเหล่านี้ปรากฏอยู่ในเศรษฐีเกือบทุกคน ทั้งนี้ไม่ได้เป็นแบบทดสอบที่สมบูรณ์แบบในเชิงวิเคราะห์และวิจัย โดยวัตถุประสงค์ของแบบทดสอบนี้ต้องการให้คุณได้เห็นภาพของตัวเองในวันนี้โดยวัดจากสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ในอดีตและสิ่งที่คุณปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันเืพื่อความมั่งคั่งในอนาคต ถ้าคุณทำได้ตามเกณฑ์ก็จะบอกได้ว่าคุณมีแนวโน้มที่จะรวยหรือไม่ แค่ตอบคำถามโดยไม่หลอกตัวเองก็พอค่ะ

เพียงตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่

1. คุณสนุกกับงานที่ทำอยู่นี่หรือไม่
2. คุณเคยวาดภาพตัวเองประสบความสำเร็จในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่คุณเป็นหรือทำอยู่หรือไม่
3. คุณฝากเงินเกือบทุกเดือนหรือไม่
4. คุณเคยเอาเงินมาลงทุนซื้อหุ้นบ้างหรือไม่ จะเป็นหุ้นแบบใดก็ได้
5. ก่อนซื้อของ คุณเลือกก่อนตัดสินใจหรือไม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งของแพง
6. คุณดูแลบ้านช่องหรืออพาร์ตเมนต์ของคุณอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ เป็นต้นว่าบำรุงรักษาตามปกติหรือซ่อมแซมทั่วไป
7. คุณดูแลรักษารถยนต์หรือข้าวของแพงอื่นๆตามเวลาหรือไม่
8. แต่ละเดือนคุณจ่ายค่าบัตรเครดิตเต็มจำนวนหรือไม่
9. คุณซื้อของมือสองที่เป็นราคาแพง อย่างเช่น รถยนต์หรือข้าวของเครื่องใช้ได้อย่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจหรือไม่
10. คุณเคยมีธุรกิจเป็นของตัวเองหรือไม่(เล็กน้อยนับหมดไม่เว้นแม้แต่รถขายน้ำมะนาว)
11. คุณเคยประเมินจำนวนเงินที่ต้องการลงในบัญชีทรัพย์สินของคุณเืพื่อดูว่าเงินจำนวนดังกล่าวสามารถสร้างรายได้พอกับรายจ่ายของคุณหรือไม่
12. คุณเคยวัดผลตอบแทนจากบัญชีทรัพย์สินของคุณหรือไม่อย่างน้อยทุกๆ 4 เดือน
13. คุณเคยคำนวณยอดเงินส่วนตัวที่บริจาคให้กับองค์กรหรือมูลนิธิต่างๆบ้างหรือไม่
14. ที่อยู่อาศัยที่ต้องผ่อนชำระมีมูลค่าน้อยกว่า 20% ของรายได้หรือไม่(ถ้าไม่มีบ้านเป็นของตัวเองคิดเป็นค่าเช่าบ้านก็ได้ นั่นคือ ค่าเช่าบ้านควรน้อยกว่า 20% ของรายได้)
15. คุณใช้จ่ายน้อยกว่าที่หามาได้หรือไม่
16. คุณเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการสร้างความร่ำรวย หรือเคยอ่านอัตชีวประวัติของมหาเศรษฐีคนใดหรือไม่
17. ปัจจุบันคุณมีธุรกิจของตัวเองที่สามารถสร้างรายได้ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะไปได้ดีหรือไม่
18. คุณเคยทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่หลับไม่นอนติดต่อกัน 24 ชั่วโมงหรือไม่

คำถามใดที่คุณตอบ "ใช่" ให้ 1 คะแนน รวมคะแนนที่ได้ในแต่ละข้อแล้วเทียบกับตารางด้านล่าง คุณจะรู้ว่าตนเองมีโอกาสจะเป็นเศรษฐีกับเขาหรือไม่

คะแนน 1-5       ความเป็นไปได้ "ต่ำ"
คะแนน 6-10     ความเป็นไปได้ "ระดับเฉลี่ย"
คะแนน 10-15   ความเป็นไปได้ "เป็นไปได้มาก"
คะแนน 16-18   ความเป็นไปได้ "คุณอยู่บนเส้นทางเศรษฐีแล้ว ขอแสดงความยินดี"

ถ้าผลคะแนนออกมาในระดับสูงก็ยินดีนะค่ะ แต่ถ้าอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลางก็ไม่ต้องกังวลมากนักและคิดว่าตนเองไม่มีโอกาสเป็นเศรษฐี คะแนนของแบบทดสอบนี้บ่งชี้ถึงจุดอ่อนของคุณเท่านั้น นำข้อบกพร่องโดยเฉพาะข้อที่ตอบว่า "ไม่ใช่" มาพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้น คุณรู้จักตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ยังดีกว่าสายเกินแก้นะค่ะ ถ้าอยากรู้วิธีแก้ไขรบกวนติดตามอ่านในหนังสือนะค่ะ มันมีเยอะมากคงเขียนได้ไม่ดีเท่าในหนังสือ ลองไปหาอ่านดูนะค่ะ อ่านสบายๆเหมือนอ่านนิทานเพราะใช้คำพูดที่เข้าใจง่ายๆ การยกตัวอย่างก็พบเห็นได้โดยทั่วไป อ่านเบาๆแค่ 300 กว่าหน้าเองค่ะ จิ๊บๆมากถ้าเราอยากรวยค่ะ

หมายเหตุ ผู้เขียนไม่ได้มีส่วนได้เสียกับหนังสือเล่มนี้ เพียงแต่เห็นว่ามีประโยชน์เลยนำมาแนะนำค่ะ



วันก่อนเกิดอาการติ๊ดแตกอยากวาดรูป ออกมาเป็นรูปนี้ค่ะ ชื่อ "โลกสวยด้วยมือเรา"
โลกเราจะออกมาเป็นอย่างไรก็ต้องทำเอง อาศัยโชคช่วยอย่างเดียวไม่ได้ค่ะ 
ถ้าบังเอิญเกิดมารวยก็ดีใจด้วย แต่ก็จงรักษาให้ดีมิเช่นนั้นโลกอาจจะไม่สดใส
แต่ถ้าเกิดมาไม่รวยก็ต้องขยันสร้าง ไม่เบียดเบียนคนอื่น และอย่างท้อนะค่ะ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนค่ะ สู้ๆ


วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

วิธีสร้างเกราะป้องกันลัทธิวัตถุนิยม

วิวัฒนาการในสิ่งมีชีวิตต่างๆเกิดมาจากการเรียนรู้และการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด โดยมีหลักฐานเป็นซากดึกดำบรรพ์ต่างๆที่ถูกฝังอยู่ใต้พื้นโลก สิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้ก็จะอยู่รอดถึงปัจจุบัน (ข้อมูลเพิ่มเติม : เรื่อง ทำไมต้องศึกษาวิวัฒนาการ http://www.myfirstbrain.com/student_view.aspx?ID=75870 ) คุณอาจจะสงสัยแล้วว่าวิวัฒนาการมันเกี่ยวอะไรกับการออมเงิน??

สังคมมนุษย์เปลี่ยนไปในหลากหลายรูปแบบ ลองนึกภาพการดำเนินชีวิตของตัวคุณเมื่อตอนอายุ 7 ขวบเปรียบเทียบกับเด็ก 7 ขวบสมัยปัจจุบันว่าการดำเนินชีวิตแตกต่างกันอย่างไรเทคโนโลยีมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีตัวอย่างคลิปฮาๆ(แต่อนาคตอาจจะฮาไม่ออก) ที่เด็กคุยกับไอแพดซึ่งมีแอพพลิเคชั่นสำหรับเด็กอันหนึ่งที่ชื่อว่า "ทอคกิ้ง ทอม" (Talking Tom) ที่มีแมวคอยเงี่ยหูฟังว่าเราพูดอะไร แล้วเหมียวก็จะพูดตามในอีกเสียงหนึ่ง


หมอเตือนเด็กเล่น"สมาร์ทโฟน-แท็บเล็ต" เสี่ยงเป็นโรคสายตาสั้นเทียม

เมื่อวันที่ 12 มีนาคม นพ.ศักดิ์ชัย วงศ์กิตติรักษ์ ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน ซึ่งมีหน้าจอระบบสัมผัส และมีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ รวมไปถึงแท็บเล็ต ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์แบบพกพา และมีหน้าจอระบบสัมผัสที่มีขนาดใหญ่กว่าสมาร์ทโฟน กำลังได้รับความนิยมมากในประชาชนทุกวัย หากดูในส่วนของจอทั้งสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตนั้นจะมีแสงสว่างในลักษณะเดียวกับจอคอมพิวเตอร์ ดังนั้น หากหน้าจอมีความสว่างเกินไป และไปจ้องนานๆ จะทำให้รูม่านตาหดตัว จนส่งผลให้เกิดอาการเมื่อยตามากกว่าปกติ รวมไปถึงจะทำให้ตาแห้ง ระคายเคืองกระจกตาได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กที่อายุต่ำกว่า 13 ปี ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วเด็กจะมีความสามารถในการเพ่งตามากกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้น เมื่อเด็กเพ่งจอโทรศัพท์สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตเป็นเวลานาน เพื่อเล่นเกม จะส่งผลให้เกิดอาการสายตาสั้นเทียม กล่าวคือ เด็กจะมีอาการเหมือนคนสายตาสั้น มองเห็นอะไรไม่ชัด แต่อาการเหล่านี้จะหายไปเองหากได้พักสายตา

          นพ.ศักดิ์ชัยกล่าวอีกว่า พ่อแม่บางคนไม่รู้ว่าเด็กมีอาการสายตาสั้นเทียม พอเด็กบอกว่ามองเห็นอะไรไม่ชัดก็พาไปตัดแว่นสายตาใส่ทันที แต่พออาการสายตาสั้นเทียมของเด็กหายเป็นปกติก็ไม่จำเป็นต้องใส่แว่น ดังนั้น หากเด็กเกิดอาการมองเห็นอะไรไม่ชัดหลังจากเล่นเกมในแท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟนเป็นเวลานานให้พาไปพบจักษุแพทย์ก่อน

          ทั้งนี้ ในปัจจุบันพบเด็กมีอาการดังกล่าวเยอะมาก และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น โดยจากการเก็บข้อมูลจากแผนกตา สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) เมื่อปี 2554 พบว่าเด็กที่เข้ามารับการรักษาในแผนกนี้มีประมาณปีละ 30,000 คน โดยร้อยละ 20-30 มีปัญหาเรื่องสายตา และในจำนวนนี้พบว่ามีภาวะของอาการสายตาสั้นเทียมอยู่ประมาณ 1 ใน 3 และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการเกิดสายตาสั้นเทียมนี้จะสามารถหายเป็นปกติได้โดยให้เด็กหยุดเล่นเกม เพื่อลดการเพ่งสายตา 1 วัน ก็จะหายเป็นปกติ แต่หากหยุดเล่นเกมแล้วอาการยังไม่หายให้รีบมาพบจักษุแพทย์ทันที

ขอขอบคุณแหล่งข่าว » เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ 
[มีนาคม อังคาร 13,พ.ศ 2555 15:19:02] 

จากข่าวข้างต้นก็ทำให้พอจะคาดการณ์ได้ว่าถ้าไม่ปรับสมดุลให้กับการใช้เทคโนโลยีอาจจะเดือดร้อนถึงเงินในกระเป๋าของผู้ปกครองได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล การใช้่จ่ายทางด้านอุปกรณ์เทคโนโลยี คุณภาพชีวิตของเด็กๆเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ค่าใช้จ่ายสำหรับของเล่นเด็ก ฯลฯ อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวจากการที่สังเกตคนรอบข้างที่มีลูกในวัยอนุบาล ผู้ปกครองก็จะต้องไปทำงานเพื่อหาเงินมาใช้ในการดำรงชีวิตในครอบครัว ดังนั้นเวลาเลี้ยงดูลูกอาจจะน้อยลง บางคนอาจจะเห็นว่าการให้ลูกอยู่กับแท็บเล็ตแล้วจะทำให้ตนเองมีเวลาไปทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูลูกมากขึ้น เคยคิดไหมว่าคุณอาจจะมีต้นทุนในการเลี้ยงดูลูกที่แพงขึ้นเพราะต้องหาเงินมากขึ้นด้วยเพื่อซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยีราคาแพงและเปลี่ยนแปลงบ่อยๆเหล่านั้นมาดูแลลูกแทนคุณ อีกทั้งเป็นการสร้างค่านิยมที่ฉาบฉวยให้กับเด็กอย่างที่คุณคิดไม่ถึง

ที่มา: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ 30 ส.ค. 55

วิธีสร้างเกราะป้องกันพฤติกรรมของลูกที่จะส่งผลต่อเงินออมของผู้ปกครอง
- สอนให้เด็กรู้จักคำว่า "ไม่มี" ว่ามันคืออะไร
นิยามความรักลูกของแต่ละคนแตกต่างกันบางคนรักลูกแบบที่ว่าลูกอยากได้อะไรพ่อกับแม่ก็จัดให้ทุกอย่าง ถ้าพ่อแม่มีฐานะดีก็ไม่ลำบากในการซื้อ แต่ถ้าเกิดไม่มีหละจะทำยังไง ต้องไปก่อหนี้เพื่อซื้อทุกอย่างให้ลูกมันถูกต้องหรือไม่ เมื่อลูกใช้ไม้ตายโดยการร้องไห้และลงไปแดดิ้นกลับพื้น หัวใจของพ่อแม่สงสารลูกแทบขาดใจก็ต้องรีบไปซื้อของที่ลูกต้องการในทันที ถ้าลูกทำพฤติกรรมแบบนี้ไปจนโตแล้วพ่อแม่จะมีเงินเหลือเก็บไหมเนี้ย ต้องสอนลูกรู้จักเหตุผลในการเลือกซื้อของและให้รู้จักคำว่า "ไม่มี" ซะบ้างผู้ปกครองจะได้ไม่ลำบากเงินในกระเป๋า แม่ของผู้เขียนชอบสอนโดยการที่ให้เจอกับสถานการณ์จริงๆ ซึ่งวิธีนี้ก็น่าจะมีประโยชน์ก็นำมาแชร์ค่ะ 

ทุกวันเกิดก็จะไปเลี้ยงอาหารเด็กในโรงเรียนที่ต่างจังหวัด สองข้างทางถนนก่อนเข้าโรงเรียนถูกปูด้วยต้นข้าวสีเขียวอ่อนผืนใหญ่ โรงเรียนนี้มีตั้งแต่อนุบาลจนถึงประถมศึกษาปีที่ 6 รวมนักเรียนทั้งโรงเรียนมี 68 คน อาคารเรียนชั้นเดียวมี 2 อาคาร แต่ละชั้นเรียนถูกกั้นโดยตู้ไม้ ตอนกลางวันจะแบ่งกันพักเพราะห้องรับประทานอาหารมีขนาดเล็ก โดยที่เด็กอนุบาลพักทานข้าวก่อน ตามด้วยเด็กในระดับประถม ช่วงระหว่างรอเด็กประถมทานข้าวก็เป็นเวลาดูทีวีของเด็กอนุบาล โดยที่ครูจะเปิดช่องสารคดีให้ดู บางคนไม่ดูก็นั่งอ่านหนังสือในห้องสมุดเล็กๆซึ่งอยู่ข้างๆกัน เด็กอ่านหนังสือเสียงดังจริงๆ นึกแล้วสงสารกลุ่มเด็กที่นั่งดูทีวีว่าจะดูรู้เรื่องไหม พอเด็กประถมทานข้าวเสร็จก็ถึงเวลาที่เด็กอนุบาลจะต้องนอนกลางวันโดยมีพี่ๆดูแลน้องๆให้สวดมนต์และนั่งสมาธิก่อนนอน จากนั้นพี่ๆก็ค่อยเข้าห้องเรียน การเีรียนทางไกลผ่านทีวีกับโรงเรียนวังไกลกังวลมีประโยชน์มากสำหรับโรงเรียนที่ขาดแคลนครูผู้สอนแบบนี้ แม้ว่าเป็นโรงเรียนต่างจังหวัด แต่มารยาทของเด็กนักเรียนดีกว่าโรงเรียนค่าเทอมเป็นหมื่นซะอีก เด็กในเมืองบางคนชอบคิดเปรียบเทียบตนเองกับเพื่อน ถ้าเพื่อนมีอะไรเราก็ต้องมีด้วยไม่งั้นเข้ากลุ่มไม่ได้ จนถึงขั้นที่ว่าจะใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้กันเลยทีเดียว การให้เด็กไปดูแลหรือเห็นสภาพกลุ่มคนที่ด้อยโอกาสกว่าตนเป็นการสร้างประสบการณ์ที่เพิ่มมุมมองให้เด็กเปรียบเทียบกับคนที่ไม่มีบ้างว่าเค้าใช้ชีวิตกันได้อย่างไรและตนเองมีโอกาสดีกว่าคนอื่นมากแค่ไหน ควรให้เด็กได้รับประสบการณ์ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง นอกจากเด็กจะได้รู้จักคำว่า "ไม่มี" แล้วก็อาจจะได้รู้จักคำว่า "การให้" เข้ามาด้วย เป็นการสร้างเกราะป้องกันทางจิตใจให้เด็กเพื่อรองรับสภาพสังคมที่มองเห็นแต่ความสำคัญของเปลือกนอกและการสร้างภาพลักษณ์โดยลัทธิวัตถุนิยม 

-ขัดเกลาจิตใจโดยการเข้าปฏิบัติธรรม
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผู้เขียนมีโอกาสได้เข้าไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ซึ่งห่างจากการไปครั้งแรกเป็นสิบปี วัดเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก คนมาปฏิบัติธรรมมากขึ้น ภาพที่เห็นก็จะมีวัยรุ่นและพ่อแม่ที่พาลูกมาปฏิบัติธรรม การให้ธรรมะก็เหมือนให้ปุ๋ยบำรุงจิตใจให้เข้าใจสังคมมากขึ้นว่า "แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่แน่นอน แต่ความตายนั้นแน่นอนเสมอ" ดังนั้นทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องตายเป็นความจริงที่หนีไม่พ้น  แล้วสิ่งที่เราฝากไว้บนโลกใบนี้ก่อนตายหละเป็นอะไร คำชื่นชมหรือคำสาปแช่ง?? เราไม่จำเป็นต้องสร้างความดีและต้องประกาศให้ทั้งโลกได้รับรู้ ว่าฉันทำความดีนะช่วยจดจำฉันหน่อยหรือทำเพื่อหวังสิ่งตอบแทน เพียงแต่เรารู้สึกดีที่ได้ทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้างก่อนตายแค่นี้มันน่าจะรู้สึกสุขใจมากกว่า การสร้างเกราะป้องกันให้กับอนาคตของชาติโดยใช้หลักการของพระพุทธศาสนาก็เป็นสิ่งล้ำค่า เพราะถ้าเด็กเข้าใจในแก่นแท้ของชีวิต การดำเนินชีวิตในอนาคตที่มีสิ่งปรุงแต่งจากกิเลสและสิ่งยั่วยุต่างๆก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทั้งนี้ไม่ใช่สร้างด้วยปาก แต่ต้องสร้างด้วยการปฏิบัติ  การสร้างประสบการณ์ให้เด็กเข้ารับฟังธรรมะและปฏิบัติธรรมดีกว่าการนั่งท่องจำเพื่อสอบ

รู้จักครอบครัวของเพื่อนแม่คนหนึ่งมีวิธีการสอนหลานได้น่ารักมาก มีวันนึงที่คุณยายก็พาหลานไปวัดแล้วต้องนั่งสมาธิ ระหว่างนั้นก็บอกให้หลานนั่งอยู่เฉยๆเพื่อรอ หลานก็นั่งอยู่นิ่งๆนั่งมองคุณยายนั่งสมาธิ ต่างกับเด็กคนอื่นที่ิวิ่งเล่นไปมา เพื่อนบ้านมาถามคุณยายว่าทำอย่างไรให้หลานเชื่อฟังและอยู่นิ่งๆได้ ซึ่งต่างกับหลานของเค้าบอกเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ซุกซนมาก แถมวิ่งไปมาสร้างความรำคาญให้แก่ผู้อื่นในขณะที่นั่งสมาธิ คุณยายก็ตอบว่าก็แค่พาหลานเข้าวัดตั้งแต่เด็กๆ สอนให้สวดมนต์ นั่งสมาธิ เช่นนี้แล้วหลานก็เป็นอย่างที่เห็น บางคนอาจจะเห็นว่าเด็กซนคือเด็กฉลาด แต่ถ้าเด็กสามารถแบ่งแยกได้ว่าเวลาไหนควรนิ่งหรือเวลาไหนควรซุกซนก็น่าจะดีกว่ามิใช่หรือ ถ้าในอนาคตมีเด็กที่รู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไร มีพื้นฐานทางจิตใจแข็งแกร่งเกิดขึ้นมากสังคมในอนาคตจะเป็นอย่างไร เราต้องช่วยกันสร้างโดยเริ่มจากตัวเอง ณ ตอนนี้เลยนะค่ะ ^_^ //


"จิตใจที่อุดมไปด้วยกิเลส นำพาซึ่งการตัดสินใจที่ผิดพลาด"