วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ถาม-ตอบ : ถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือนจะหาเงินยังไงดี ??

พอดีมีคนถามเข้ามาว่าให้ช่วยเขียนวิธีการหาเงินว่าทำยังไงไ้ด้บ้างถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือน

นั่นซิจะหาเงินยังไงดีหละ.......????

คำตอบมีเยอะมากมายใน Internet หรือตามสื่อทีวีว่าอาชีพเสริมโน้นนี่นั่นเต็มไปหมด

มีเยอะแยะมากมายจนเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียวว่าเราควรจะมีอาชีพเสริมอะไรดีเพื่อสร้างเงิน

ควบคู่กับงานประจำที่เราต้องทำแต่งานซึ่งบางครั้งก็ยังไม่ค่อยมีเวลาเป็นของตัวเองสักเท่าไหร่

ทั้งนี้ก็แล้วแต่ความชอบและความถนัดของแต่ละคน เพราะทางเลือกมีเยอะม๊าก

ตอนเราเรียนก็รู้ว่าโรงเรียนคือบ้านหลังที่สอง และพอทำงานก็รู้ว่าที่ทำงานคือบ้านหลังที่สอง (*_*)!!


ถ้าจะตอบคำถามนี้ในความคิดเห็นส่วนตัวแล้วหละก็คิดออกมาได้ 3 แบบค่ะ

               1. ทำงานที่ตัวเองรักเพราะเราจะรู้สึกว่าเราไม่ได้ทำงาน เราก็จะสนุกกับงาน พูดง่ายเนอะ

แต่ทำยากจัง ความรักในงานก็มีจุดเริ่มต้นแตกต่างกัน บางคนเลือกแล้วว่ารักงานอะไรก็ทำงานแบบนั้น

ทำจนออกมาดี แม้มีอุปสรรคอะไรก็ไม่ย่อท้อ เพราะเรารักในงานที่ทำ แบบนี้เรียกว่า "รักแล้วจึงทำ"

ส่วนอีกแบบหนึ่งก็จะเรียกว่า "ทำแล้วจึงรัก" บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าเราชอบงานอะไร แต่พอทำไปเรื่อยๆ

เราก็เกิดเป็นความรักในงานขึ้นมาเองค่ะ อีกไม่นานรายได้ก็บังเกิดค่ะ

                 2. หางานตามคำสอนของแม่ค่ะ ตอนที่แม่รู้ว่าพ่อจะเข้าโครงการ early retire

หรือเป็นการเกษียณก่อนอายุ 60 ปี แม่กลัวพ่อจะเหงาเลยหาอะไรให้ทำ หลักการคิดของแม่คิดว่า

งานอะไรที่ทำแล้วสามารถสร้างรายได้สม่ำเสมอ บทสรุปอยู่ที่ธุรกิจให้เช่าอุปกรณ์โต๊ะจีน

ซึ่งการจัดงานในระยะแรกก็ไม่มีคนรู้จักก็ไม่ค่อยมีงานสักเท่าไหร่ แต่พอรู้จักมากขึ้นก็มีงาน

เข้ามาตลอดเวลา ทำให้คิดได้ว่าธุรกิจที่เกี่่ยวกับการให้เช่าอะไรก็ตามสามารถสร้างรายได้

ควบคู่กับงานประจำได้เ่ช่นกัน โดยที่เราก็ปล่อยให้สินทรัพย์ของเราทำงานในขณะที่เราก็ทำงาน

ตัวอย่างที่พอจะนึกออกก็ตามนี้เลยค่ะ


  • ให้เช่าบ้าน ก็อาจจะเป็นบ้านเก่าที่เราไม่ได้ใช้แล้วปรับปรุงปล่อยเช่า หรือว่าไปดูสินทรัพย์รอการขายที่เป็นบ้านมือสอง เราอาจจะไปดูแล้วทำเลดีแค่ปรับปรุงสักนิดก็ใช้ได้
  • ให้เช่าคอนโด บางครั้งตอนเรียนทางบ้านอาจจะให้อยู่คอนโดเพราะเดินทางไปเรียนสะดวก แต่พอทำงานแล้วเราต้องไปทำงานที่ต่างจังหวัดแล้วปล่อยคอนโดว่างไว้ก็อาจจะเสียโอกาส เราก็อาจจะปล่อยเช่าก็ได้
  • ให้เช่ารถตู้ แบบนี้เห็นบ่อยตามวินรถตู้ต่างจังหวัดใกล้ๆกรุงเทพฯ จะมีการซื้อรถตู้แล้วจ้างคนขับประจำวินขับไปต่างจังหวัด
  • ให้เช่าที่ดิน ที่ดินทำเกษตรกรรม ตลาดนัด ตลาดสด
  • ให้เช่าสินค้าแบรนด์เนม อาจะใช้ประกอบฉากในละครทีวี 

                 3. มองแนวโน้มตลาดในอนาคตว่ากระแสอะไรกำลังจะมาแล้วเราก็ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้อง

 เช่น ประชากรผู้สูงอายุจะมากขึ้นก็อาจจะเป็นแนวโน้มได้ว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุกำลังจะมา

อาจจะเคยได้ยิน Gen C คือ Generation Connected* (ความหมายอยู่ตามข้อมูลด้านล่างค่ะ)

ถ้าเราสามารถออกแบบ APP บนมือถือได้ก็อาจจะทำมาตอบสนองคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะ เช่น 

ตารางตรวจสุขภาพ ตารางกินยา เกมส์เสริมสร้างความจำ ฯลฯ โดยที่ออกแบบให้ง่ายต่อการใช้งาน

ถ้ามียอดโหลด APP เยอะรายได้เราก็จะเพิ่มขึ้นด้วย คนกลุ่มนี้มีศักยภาพในการจ่ายสูงกว่าเด็กจบใหม่ 

                ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่แนวคิดส่วนตัวที่สามารถทำได้ขณะที่เป็นมนุษย์เงินเดือน เราก็ทำควบคู่

กับงานประจำ ถ้าประสบผลสำเร็จก็ออกมาทำเต็มตัว แต่ถ้าบางคนบู๊มากหน่อยก็ออกมาทำเลยก็ได้

แค่เราไม่ท้อตอนเจออุปสรรคเท่านั้น สู้เพื่อความฝัน แต่ถ้าฝันแล้วไม่สู้ก็เป็นแค่ฝันกลางวันนะค่ะ
                
นี่แหละค่ะประโยชน์ของการออมเงิน ถ้าคุณทำงานได้เงินเดือนเยอะมาก แต่ไม่สามารถเก็บเงินไว้ได้ 

หรือเก็บได้น้อย ก็สู้ไม่ได้กับคนที่เงินเดือนน้อยแล้วรู้จักวิธีเก็บเงินให้งอกเงย 

ความฝันเล็กๆที่เราอยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ก็อาจจะเกิดขึ้นได้ยาก

เพราะเราจะไม่มีทุนในการสร้างฝัน เริ่มเก็บทีละนิดตั้งแต่วันนี้เพื่อความฝันของเรานะค่ะ สู้ๆค่ะ



บทความน่าสนใจ


ลูกจะมีวินัยทางการเงินหรือไม่นั้นต้องเริ่มจากพ่อกับแม่

==> http://pajareep.blogspot.com/2013/08/blog-post_4.html

เราทำงานเพื่ออะไร 
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/05/blog-post_27.html

เงินฝากเขย่าโลก
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/04/blog-post_20.html

บทเรียนในความมืดกับการวางแผนการเงิน
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/02/blog-post_24.html

การเงินส่วนบุคคล ตอน การวิเคราะห์หนี้สิน
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/01/blog-post_28.html


บัตรเครติต & ตลาดหุ้น...หลักการกับปฎิบัติมันไม่เหมือนกัน
==> http://pajareep.blogspot.com/2012/12/blog-post.html


การพนัน คือ การวางเดิมพันอนาคต
==> http://pajareep.blogspot.com/2012/11/blog-post_12.html

คนล้มละลาย เศรษฐกิจก็ล้มละลาย
==> http://pajareep.blogspot.com/2012/10/blog-post.html

=======================================================


Generation Connected

พวก Gen C หรือ Generation Connected ที่เป็นการแบ่งประชากรออกเป็นอีกกลุ่ม แต่แทนที่จะเป็นไปตามปีเกิด เหมือนพวก Gen X หรือ Gen Y กลับแบ่งตามพฤติกรรม ในอดีตคำว่า Gen C ก็ใช้กันอยู่บ้างแต่โดยส่วนใหญ่แล้วตัว C นั้นจะหมายถึง Content มากกว่า แต่ดูเหมือนในปัจจุบัน C นั้นเปลี่ยนจาก Content เป็น Connected แทน

โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าคน Gen C นั้น ได้แก่ พวก Gen X หรือ Baby Boomers ที่มีพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเชื่อมต่อเป็นประจำ บางคนอาจจะใช้เทคโนโลยีเพื่อการเชื่อมต่อเป็นระยะๆ แต่บางคนก็ถึงขั้นของการเสพติดเลยทีเดียว ส่วนสาเหตุที่ผมไม่จัดคนกลุ่ม Gen Y เข้าอยู่ในพวก Gen C ด้วยนั้น ก็เนื่องจาก Gen Y นั้นจะมีพฤติกรรมของการเชื่อมต่อตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่พฤติกรรมในการเชื่อมต่อของคน Gen Y และพวก Gen C นั้นแตกต่างกัน
ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าทำไมคน Gen C ถึงได้มีความสำคัญมากขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศและเครื่องมือใหม่ๆ ที่ออกมามากขึ้น ทำให้คนกลุ่ม Gen X & Baby Boomers มีพฤติกรรมของการใช้เทคโนโลยีในการเชื่อมต่อมากขึ้น อีกทั้งการเชื่อมต่อเหล่านี้ก็ส่งผลให้พฤติกรรมของคนเหล่านี้เปลี่ยนไปทั้งการรับข้อมูลข่าวสาร การหาข้อมูล การติดต่อสื่อสาร และที่สำคัญ คือ การใช้เวลา อย่าลืมว่าเวลาของคนมีเท่ากันและมีจำกัด ในอดีตพวก Gen X & Boomers ที่ยังไม่กลายเป็นพวก Gen C ยังสามารถใช้เวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเหลือเฟือ เช่น ดูละคร อ่านหนังสือ ฟังวิทยุ อยู่กับครอบครัว ฯลฯ แต่เมื่อกลายร่างเป็นคน Gen C แล้ว การเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศเหล่านี้กลับเข้ามาทดแทนเวลาในการทำกิจกรรมเดิมๆ ไป ทำให้ส่งผลกระทบต่อทั้งการบริหาร กลยุทธ์ และการตลาด
คราวนี้เรามาดูพฤติกรรมของคน Gen C กันนะครับ ผมมองว่าถึงแม้คนเหล่านี้จะใช้ Social Media หรืออินเทอร์เน็ตมากขึ้นเหมือนคน Gen Y แต่พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้กลับแตกต่างกันไปครับ
จริงอยู่ที่คน Gen C ยังชอบโพสต์ข้อความต่างๆ บน Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือ Twitter ไม่ว่าจะเป็นอาหาร รูปภาพ ความรู้ สถานที่ ฯลฯ แต่คนเหล่านี้จะโพสต์สิ่งต่างๆ ด้วยความระมัดระวังและมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนมากกว่าคน Gen Y โดยที่คน Gen Y อาจจะบ่นหรือพร่ำรำพันถึงอารมณ์ในช่วงต่างๆ ลงบน FB แต่ลองสังเกตคน Gen C ส่วนใหญ่ (ซึ่งก็คือผู้ใหญ่ที่ชอบ Connected) จะไม่ค่อยแสดงอารมณ์หรือพร่ำรำพันผ่านทางสื่อเหล่านี้เท่าใด และสิ่งที่โพสต์นั้นก็มีเป้าหมายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันสิ่งดีๆ กับผู้อื่น การแบ่งปันความรู้ การประชาสัมพันธ์ตนเองหรือครอบครัวหรือหน่วยงาน การแบ่งปันอดีต (ส่วนใหญ่รูปในอดีต) กับเพื่อนๆ การพูดคุย แซว หยอกล้อกับเพื่อนๆ ฯลฯ
ยังมีกลุ่มคน Gen C ที่เน้นในการอ่านหรือเสพข้อมูลต่างๆ ผ่านทาง Social Media แต่ไม่ค่อยได้โพสต์หรือแสดงความคิดเห็นเท่าใด คนเหล่านี้อยากที่จะเสพข้อมูล รับรู้ข้อมูลของผู้อื่น แต่ไม่ชอบที่จะแสดงความเห็นของตนเองหรืออยากให้ผู้อื่นเข้ามารับรู้เรื่องราวของตนเอง (คงจะถือคติที่ว่า “เรื่องของชาวบ้านคืองานของเรา”)
ยังมีช่องทางอื่นๆ ที่คน Gen C ชอบที่จะใช้ในการเชื่อมต่ออีกนะครับ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารผ่าน App ต่างๆ (เช่น What’s App หรือ Line) หรือแม้กระทั่ง Social Media ใหม่ๆ อย่างเช่น Pinterest แต่ประเด็นสำคัญ ก็คือ ไม่ว่าจะผ่านช่องทางหรือวิธีการใดก็ตาม เราจะพบว่าเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อเหล่านี้ทำให้ชีวิตและพฤติกรรมของคน Gen C เปลี่ยนไป ท่านผู้อ่านที่คิดว่าตนเองเป็น Gen C ลองหยุดหรือไม่เข้าดูหรือเสพข้อมูลผ่านทางช่องทางเหล่านี้สักสัปดาห์ซิครับ ดูซิว่าจะลงแดงหรือไม่ ถือว่าเป็น Digital Detox อย่างหนึ่งครับ
ประเด็นสำคัญ คือ การถือกำเนิดของคน Gen C เหล่านี้มีผลอะไรบ้าง สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจน คือ คน Gen C นั้นใช้สติและประสบการณ์กับสื่อสังคมออนไลน์และเทคโนโลยีเหล่านี้มากกว่าคน Gen Y ทั่วๆ ไป ดังนั้น การทำตลาดกับคนกลุ่มนี้อาจจะต้องใช้วิธีการที่แตกต่างจากคน Gen Y ทั่วๆ ไป อีกทั้งกลยุทธ์และการบริหารจัดการสื่อสังคมออนไลน์และเทคโนโลยีสำหรับคน Gen C นั้นก็ต้องแตกต่างจากคน Gen Y อีกด้วยครับ
ก็ลองฝากสังเกตพฤติกรรมของท่านเองและบุคคลรอบข้างนะครับว่าเป็นคน Gen C หรือไม่ เราจะพบว่ามีคน Gen C เป็นจำนวนมาก รอบๆ ตัวเราโดยที่เราไม่รู้ตัวครับ











วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กระปุกออมสินสร้างโลก







จำได้ไหมค่ะว่าเราหยอดกระปุกออมสินครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ??

นั่นซิ เมื่อไหร่กันหนอ....

กระปุกออมสินเป็นแหล่งเก็บเงินที่แรกที่เรารู้จัก

พ่อกับแม่สอนเราว่าต้องเก็บเงินใส่กระปุกไว้ โตไปจะได้ไม่ลำบาก

หลายคนอาจจะได้ยินคำพูดนี้บ่อยๆ เรามาลองคิดกันดีกว่าว่าทำไมท่านกล่าวแบบนั้น

กับเด็กที่เก็บเศษเงินเพียงเล็กน้อยที่เหลือจากโรงเรียนแล้วนำมาหยอดกระปุกออมสิน

เดือนนึงก็คงได้ไม่เท่าไหร่ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าจะได้เงินจำนวนเท่าไหร่

แต่เป็นการปลูกฝังค่านิยมการออมตั้งแต่เด็กค่ะ การที่เราทำพฤติกรรมอะไรก็ตามซ้ำๆกันทุกวัน

จนติดเป็นนิสัยมันก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและขาดมันไมไ่ด้

ถ้าเด็กได้รับรู้ถึงพฤติกรรมนั้นจากผู้ปกครองก็จะยิ่งอยู่ในความทรงจำ

แล้วจะเกิดเป็นพฤติกรรมเลียนแบบได้เช่นกัน

ลองดูตัวอย่างโฆษณานี้นะค่ะ




                   ถ้าเราลองคิดอีกด้านของโฆษณาตัวนี้นอกจากสอนเรื่องการแบ่งปันแล้ว

ยังสอนเรื่องพฤติกรรมการเลียนแบบที่ดีอีกด้วย สามารถนำมาปรับใช้กับการออมเงินได้เป็นอย่างดี

ถ้าเราต้องการสอนให้คนอื่นออมเงินก็ต้องเริ่มจากที่ตัวเองก่อน ปลูกฝังพฤติกรรมการออมตั้งแต่เด็ก

จะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้และทำตาม

                   ปัจจุบันนี้เราก็รู้จักเรื่องการออมเป็นอย่างดี ใครถามก็รู้ว่าการออมคืออะไร

หลักการเต็มร้อยแต่ปฏิบัติแทบติดลบ ทั้งๆที่รู้ผลของการไม่ออมเงินคืออะไร

เราจะรู้เหตุผลของการใช้เงินแต่ไม่รู้เหตุผลของการออมเงิน

ดังนั้นเราต้องสร้างแรงบันดาลในการออมเงินค่ะ เริ่มจากกระปุกออมสินเนี้ยแหละ

ถ้าเราทำได้แล้วก็จะสามารถสอน ลูก หลาน เหลน โหลน ของเราให้การออมเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาได้ค่ะ

                  เราสามารถสร้างกิจกรรมภายในครอบครัวโดยการไปดูพิพิธภัณฑ์ของออมสิน

ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติการออมเงิน( http://www.gsb.or.th/museum/index.php)

เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการออมเงิน
             
                  สำหรับสอนเด็กเรื่องการออมเงินหรือคนที่อยากจะออมเงินแต่ร้างลากับการออมเงินมานาน

ก็ต้องค่อยๆเริ่มทำทีละนิดๆ โดยการที่เราอาจจะสร้างสรรค์กระปุกออมสินขึ้นเองได้

โดยการที่เราแปะภาพความฝันของเราไปที่กระปุกออมสิน มองภาพความฝันแล้วหยอดเงิน

มองแล้วหยอด มองแล้วหยอด มองแล้วหยอด อยู่แบบนั้นค่ะ

เพื่อที่ว่าสักวันเราจะได้ไปถึงภาพแห่งความฝันนั้นให้ได้

เช่น เมื่อเราอยากซื้อบ้าน รถยนต์ ก็ให้แปะรูปบ้านและรถยนต์ในฝันไว้ที่กระปุกแล้วหยอดเงินทุกวัน

จากนั้น 2-3 เดือนก็กลับมานั่งนับดูว่าเก็บได้แล้วเท่าไหร่ และเก็บอีกนานเท่าไหร่จะถึงฝัน

การหยอดกระปุกจนชินจะทำให้เราได้ซึมซับนิสัยการออมเงิน

เมื่อถึงเวลาเปิดกระปุกออมสินก็จะทำให้เราเห็นแต่เงินสดที่ไม่ได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นเลย

เราก็จะเริ่มหาทางเพิ่มผลตอบแทนโดยการหาแหล่งเงินออมที่ได้ดอกผลมากกว่าการหยอดกระปุก

จากนี้ไปเราก็จะมีแรงจูงใจที่จะศึกษาเรื่องการลงทุนว่ามีทางไหนบ้างที่สามารถให้เงินทำงานได้

ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตมีมากจนแทบทับตัวเราตาย ควรจะเลือกช่องทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

เช่น การอ่านหนังสือเรื่องการลงทุน ควรลองยืนอ่านที่ร้านจนเราเข้าใจว่าเราอ่านแล้วชอบ

แล้วค่อยซื้อ ไม่จำเป็นต้องซื้อทุกเล่ม เพราะบางครั้งซื้อมาแล้วอ่านไม่รู้เรื่องก็มีค่ะ

ผู้เขียนเริ่มต้นจากเว็ปของตลาดหลักทรัพย์  http://www.tsi-thailand.org/ ค่ะ ซึ่งมีการสัมมนา

หรือบทความสำหรับผู้เริ่มต้นให้อ่านค่ะ ลองดูนะค่ะเพราะการลงทุนไม่ยากอย่างที่คิด

จากนี้ไปการออมก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ( ^_^ )//


บทความน่าสนใจ

เงินฝากเขย่าโลก
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/04/blog-post_20.html

บทเรียนในความมืดกับการวางแผนการเงิน
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/02/blog-post_24.html

การพนัน คือ การวางเดิมพันอนาคต
==> http://pajareep.blogspot.com/2012/11/blog-post_12.html

คนล้มละลาย เศรษฐกิจก็ล้มละลาย
==> http://pajareep.blogspot.com/2012/10/blog-post.html

วิธีคำนวณว่าเราควรมีเงินออมเท่าไหร่จากลิ้งค์นี้ค่ะ
==> http://pajareep.blogspot.com/2012/06/blog-post_11.html

ภาพตัวอย่างกระปุกออมสิน





             
"มาออกแบบกระปุกออมสินในแบบของเรากันดีกว่าค่ะ "









วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ควรเก็บเงินสดไว้เท่าไหร่....ถ้าต้องตกงาน!!







คำว่า "ตกงาน" อาจจะฟังดูแล้วรุนแรงเกินไป แต่ถ้าวันนั้นมาถึงเราก็ต้องยอมรับความจริง

ไม่ใช่แค่มนุษย์เงินเดือนเท่านั้นที่ต้องระวัง ผู้เป็นเจ้าของกิจการก็ต้องพึงระวังไว้

เพราะเมื่อเกิดวิกฤตอะไรก็แล้วแต่ก็ต้องมีคนได้โอกาสและเสียโอกาสจากวิกฤตนั้นเสมอ

เช่น การเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลจากค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท หรือว่าการเปิด AEC

คนที่ไม่ปรับตัวก็อาจจะได้รับผลกระทบเป็นเรื่องธรรมดา เราก็แค่เตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า


จากข่าวในหนังสือพิมพ์หลายฉบับก็เริ่มเห็นข่าวการปรับลดพนักงานกันบ้าง

ส่วนใหญ่แล้วจะมีสาเหตุมาจากต้องการลดค่าใช้จ่าย หรือตัวอย่างที่เห็นชัดๆก็เป็นนโยบายรัดเข็มขัด

ของกรีซ ซึ่งจะทำให้ประชาชนชาวกรีซต้องกรี๊ดสลบจากการที่ต้องถูกตัดเงินบำนาญและเงินเดือน

ลงถึง 40% การปลดพนักงาน การเก็บภาษีเพิ่ม และอาจจะมีเพิ่มเติมถ้าต้องการปรับลดค่าใช้จ่ายลง

ปัญหาของกรีซเกิดมาจากหนี้สินในส่วนของภาครัฐ ที่บำเรอประชาชนด้วยนโยบายประชานิยม

มากเกินไป อีกทั้งปัญหาคอรัปชั่นอีกด้วย ซึ่งต่างจากสเปนที่ปัญหาเกิดจากภาคอสังหาริมทรัพย์

ที่ฟองสบู่แตกและส่งผลให้ภาคธนาคารขาดสภาพคล่อง แม้ว่าที่มาของปัญหาแตกต่างกัน

แต่ก็มีอย่างนึงที่เหมือนกัน คือ มีคนตกงาน ( # _ # )


บางคนคิดว่าเกิดวิกฤตในยุโรปแล้วมาเกี่ยวอะไรกับเราด้วยหละ

อาจจะเกี่ยวกับเราไม่ทางตรงก็ทางอ้อมนะค่ะ ถ้ากิจการไหนส่งออกให้ยุโรปเป็นลูกค้าหลัก

ก็จะได้รับผลกระทบมากหน่อย ถ้าลูกค้าไม่ซื้อของก็อาจจะทำให้กิจการนั้นขาดรายได้

ส่งผลถึงผู้ที่ส่งวัตถุดิบให้กิจการก็ไม่ได้รับรายได้เช่นกัน

ถ้าไม่หาลูกค้าเพิ่มก็อาจจะปรับลดค่าใช้จ่ายรวมถึงปรับลดพนักงาน

คล้ายๆกับประโยคที่ว่า "เด็ดดอกไม้สะเทื่อนถึงดวงดาว"

ถ้าสมมติเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับเราหละ

เราควรจะมีเงินสดเท่าไร่เพื่อให้เราอยู่ได้ในช่วงตกงาน??

หรือเราจะต้องมีเงินสดเท่าไหร่ระหว่างรองานใหม่ ??

คำตอบ คือ การออมเงิน

เราจะต้องมีเงินออมเพื่อรักษาสภาพคล่องให้เพียงพอในช่วงเวลาวิกฤตนั้นๆ

----------------------------------------------------------------------------------------------------

สาเหตุการมีเงินออมเพื่อรักษาสภาพคล่อง ดังนี้ค่ะ

1. เงินสดไว้เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประำจำวัน คือ เป็นเงินที่ใช้รับประทานอาหาร ซื้อสินค้าหรือบริการ

ที่ต้องใช้เงินสดซึ่งประมาณ 1-2 สัปดาห์ของค่าใช้จ่ายปกติ

2. เงินสดใช้ในยามฉุกเฉิน คือ เงินสดที่กันไว้ยามเจ็บป่วย ภาวะตกงาน ภาวะรองานใหม่

ซึ่งประมาณ 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน

3. เงินออมเพื่อการลงทุน คือ เงินที่เก็บไว้เพื่อซื้อทรัพย์สินค้าราคาสูงเช่น บ้าน รถยนต์

-------------------------------------------------------------------------------------------------------

วิธีคำนวณ

ถ้านาย ก มีรายจ่ายวันละ 250 บาท ดังนั้น

== >นาย ก จะต้องเงินสดไว้เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประำจำวันจำนวนกี่บาท

                   250 x 7  = 1,750 ;  250 x 14 = 3,500

สรุป นาย ก ต้องมีเงินสดขั้นต่ำสำรองไว้จำนวน 1,750 - 3,500 บาท


==> นาย ก จะต้องมีเงินสดไว้ใช้ในยามฉุกเฉินกี่บาท

                   250 x 30 x 3 = 22,500  ;  250 x 30 x 6 = 45,000 บาท

สรุป นาย ก ต้องมีเงินออมทรัพย์สำรองไว้ 22,500 - 45,000 บาท

------------------------------------------------------------------------------------------------------

การคำนวนนั้นไม่ยากแค่นำตัวเลขรายจ่ายต่อวันมาใส่

แต่ว่าเราจะรู้รายจ่ายของเราเท่าไหร่นั้น อย่าประมาณคร่าวๆเลยค่ะ อาจจะไม่ค่อยตรงกับความจริง

ให้เป็นการจดบันทึกดีกว่า เพราะจะได้ตัวเลขที่ตรงมากกว่า

อาจจะจดรายรับรายจ่ายเป็นรูปแบบ Excel ได้ตามหัวข้อ " หารอยรั่วจากการจดบันทึก"

ตามลิ้งค์นี้ค่ะ http://pajareep.blogspot.com/2012/05/blog-post_13.html

ที่สำคัญกว่านั้นคือ การมีวินัยทางการเงิน ใช้เท่าที่มีแค่นี้ก็พอเพียงแล้วค่ะ



บทความน่าสนใจ


แบ่งเงินออมมาเก็บดอลล่าร์กันดีกว่า
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/03/blog-post_25.html


ซื้อผ่อนหรือเช่า อันไหนดีกว่ากัน
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/01/blog-post.html


ขึ้นคานอย่างมีศักดิ์ศรี ต้องมีแผนทางการเงิน
==> http://pajareep.blogspot.com/2012/11/blog-post_29.html


การพนัน คือ การวางเดิมพันอนาคต
==> http://pajareep.blogspot.com/2012/11/blog-post_12.html


คนล้มละลาย เศรษฐกิจก็ล้มละลาย
==> http://pajareep.blogspot.com/2012/10/blog-post.html







วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เราควรจะมีเงินออมเท่าไหร่

"ออมก่อนรวยกว่า"





เชื่อว่าหลายคนเคยได้ยินคำพูดนี้มาบ้างแล้ว แต่ว่าจะทำตามหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องนึง

เราเคยคิดไหมว่าเราควรมีเงินออมเท่าไหร่ ??

แล้วที่เราเก็บมาถึงตอนนี้มันเพียงพอแล้วรึยัง ??

ถ้ามันไม่พอแล้วยังขาดอีกเท่าไหร่ ??

แล้วจะลงทุนในอะไรเพื่อให้ได้เงินออมตามที่ตั้งใจไว้ ??

มีแต่ ?? เต็มไปหมดเลย ให้สูตรคำนวณเงินออมเป็นตัวช่วยคิดละกันนะคะ

___________________________________________________________

สูตรคำนวณเงินออม

วิธีที่ 1 คือ 1.2   x  อายุ  x  เงินเดือน

วิธีที่ 2 คือ  2 x (อายุปัจจุบัน - อายุเริ่มงาน)  x  (เงินเดือนปัจจุบัน + เงินเดือนเริ่มงาน)

----------------------------------------------------------------------------------------------------

ตัวอย่าง นาย ก เริ่มทำงานตอนอายุ 21 ปี เงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท ปัจจุบันอายุ 30 ปี

เงินเดือน  60,000 บาท นาย ก ควรมีเงินออมเท่าไหร่

วิธีที่ 1 คือ 1.2   x  อายุ  x  เงินเดือน

             =  1.2  x  30  x  60,000

เงินออมที่ควรจะมี คือ 2,160,000 บาท

วิธีที่ 2 คือ  2 x (อายุปัจจุบัน - อายุเริ่มงาน)  x  (เงินเดือนปัจจุบัน + เงินเดือนเริ่มงาน)

            = 2 x ( 30 - 21 ) x ( 60,000 + 15,000 )

เงินออมที่ควรจะมี คือ 1,350,000 บาท

*ส่วนใหญ่ใช้สูตรที่ 2 ค่ะ
______________________________________________________________

ทำไมต้องเราต้องรีบออมเงิน ??

หลายท่านอาจจะเคยได้ยิน "การคิดดอกเบี้ยทบต้น" มาบ้างแล้ว ซึ่งมหัศจรรย์มากๆ

เพราะถ้าเราลงทุนโดยไม่ถอนเงินออกมาเลย จะทำให้ผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ

และถ้าเริ่มต้นเร็วเท่าไหร่ก็จะทำให้เงินออมโตเร็วเท่านั้น

ตัวอย่าง

ฝากเงินเดือนละ 1,000 บาท อ้ตราดอกเบี้ย 4% ถ้าฝากจนถึง 60 ปีไม่ถอนเงินเลยจะมีเงินออมเท่าใด

==> ออมเงินตั้งแต่อายุ 20 ปี

N = 480  ; I/Y = 4/12 = 0.333 ; PMT = 1,000 CPT  FV = 1,181,961.340 บาท


==> ออมเงินตั้งแต่อายุ 30 ปี

N = 360  ; I/Y = 4/12 = 0.333 ; PMT = 1,000 CPT  FV = 694,049.404 บาท


==> ออมเงินตั้งแต่อายุ 40 ปี

N = 240  ; I/Y = 4/12 = 0.333 ; PMT = 1,000 CPT  FV = 366,774.626 บาท


จากตัวอย่าง สรุปได้ว่า ถ้าออมเงินตั้งแต่อายุ 20 ปีถึงอายุ 60 ปีจะได้เงินออม 1,181,961.340 บาท

แล้วถ้าเริ่มออมเงินตอนอายุ 30 ปีจะมีเงินออม 694,049.404 บาท

แต่ถ้ารู้สึกตัวช้าเริ่มออมตอนอายุ 40 ปี พออายุ 60 ปี ก็จะมีเงินออม 366,774.626 บาท

คงไม่ต้องบอกว่าถ้าเริ่มออมตอนอายุ 50 ปีจะเป็นเท่าไหร่

ดังนั้นก็ต้องมาเปรียบเทียบกับเงินออมที่ควรจะมีว่าควรมีเท่าไหร่ และ ณ อายุขนาดนี้คุณมีถึงแล้วรึยัง

มิเช่นนั้นแล้ว ยามเกษียณอาจจะใช้ชีวิตไม่สนุกแน่ๆ


ปัจจุบันนี้การแพทย์มีความเจริญก้าวหน้าขึ้นมาก ร่างกายส่วนที่หย่อนคล้อยกลับเต่งตึงได้

อนาคตผู้หญิงก็สวยน้อยกว่ากระเทยเพราะการแพทย์ทำให้เนียนได้ (อิจฉาจริงๆนะ)

อวัยวะที่เสียไปทำให้กลับมาใช้ได้เพราะมีปลูกถ่ายอวัยวะ

สุขภาพไม่ดีสามารถทำให้แข็งแรงได้................ อะไรๆก็เกิดขึ้นได้

แม้กระทั่งอายุของคนเราก็อาจจะยืนได้มากกว่า 100 ปี ก็ได้

ณ บัดนั้นเราจะทำเ่ช่นไรกันดีค่ะ ถ้าเราไม่ออมเงินหรือวางแผนการเงินตั้งแต่วันที่เรายังมีแรงทำงาน

สิ่งของฟุ่มเฟือยหรือเกินความจำเป็นมันก็ทำให้เรามีความสุขชั่วครั้งชั่วคราว

ลด ละ เลิกได้หรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความแข็งแรงทางจิตใจของแต่ละคน

แต่เราเชื่อว่าการมีความสุขด้วยความพอดีมันดีที่สุดละ  \\ ^_^ //

บทความน่าสนใจ

บันไดขั้นแรกของความมั่งคั่ง
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/12/blog-post_26.html

จดบันทึกเพื่อให้เงินหมดช้าลง
==> http://pajareep.blogspot.com/2014/01/blog-post.html


วิธีค้นหาตัวตนจากการเขียนคำไว้อาลัย
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/11/blog-post_22.html

สร้างแรงบันดาลใจเป็นตัวเลข
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/10/blog-post_28.html

ประกันชีวิตหักลดหย่อนภาษี 200,000 บาท ตอนที่ 1/2
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/09/200000-12.html

ลูกจะมีวินัยทางการเงินหรือไม่นั้นต้องเริ่มจากพ่อกับแม่
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/08/blog-post_4.html

บัตรเครดิตที่เราต้องรู้
 ==> http://pajareep.blogspot.com/2013/07/blog-post.html

ต้นทุนชีวิต - มีมูลค่าเท่าไหร่
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/05/blog-post.html

เงินฝากเขย่าโลก
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/04/blog-post_20.html

แหล่งเก็บเงินที่ปลอดภัยนั้นไม่มีจริง!!
==> http://pajareep.blogspot.com/2013_04_01_archive.html




วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ค้นหาเป้าหมายทางการเงินตามหลักของ SMART


การมีเป้าหมายทางการเงินที่ดีนั้นจะทำให้ผู้วางแผนการเงินนั้นมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง

แล้วที่ว่าเป้าหมายทางการเงินที่ดีนั้นมันคืออะไรกันหละ ??

เป้าหมายก็เหมือนจุดหมายปลายทางที่เรากำหนดไว้ว่าต้องไปให้ถึง 

ถ้าชัดเจนก็จะทำให้เราถึงเป้าหมายนั้นตามเวลาที่กำหนดไว้ ภายใต้เงื่อนไขของสถานะภาพ

ทางการเงินของแต่ละบุคคล โดยไม่ต้องฝื่นใจที่จะทำตามเป้าหมายนั้นมากจนเกินไป

จากตัวอย่างที่เห็นตามข่าวที่ว่า หัวหน้าครอบครัวทำงานอย่างหนัก เก็บเงินไว้ให้ภรรยา

และลูกของตน แต่ไม่มีเวลาดูแลสุขภาพร่างกายจนทำให้ตนเองต้องเป็นมะเร็ง

และเสียชีวิตในที่สุด แม้ว่าทรัพย์สมบัติจะทำให้ชีวิตเรามีความสุขได้แต่มันเทียบไม่ได้กับความรัก

ที่คนในครอบครัวมีให้แก่กัน เป้าหมายของหัวหน้าครอบครัวคือทำงานเก็บเงิน เพื่อครอบครัว

แต่ก็ลืมเก็บความสวยงามระหว่างทางที่จะไปให้ถึงเป้าหมายทางการเงินของตน 

นั่นคือ ความรักและความสุขภายในครอบครัว 

ชีวิตคนเรานั้นไม่ควรตึงหรือหย่อนจนเกินไป แค่เราหาความพอดีให้เจอ ชีวิตก็จะมีความสุขค่ะ




เป้าหมายทางการเงินตามหลักของ SMART

S-Specific                 คือ  ต้องมีความชัดเจน โดยรู้ว่าเราต้องการอะไร

M-Measurable          คือ  สามารถวัดผลได้ โดยรู้ว่าใกล้จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้รึยัง

A-Achievable            คือ  สามารถทำสำเร็จได้ โดยรู้วิธีการว่าทำอย่างไรถึงบรรลุเป้าหมายนั้นๆ

R-Realistic                 คือ  สามารถบรรลุผลได้ โดยสามารถทำเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้จริงๆ 

T-Time-bound           คือ  มีกำหนดเวลาที่แน่นอนและชัดเจน


ยกตัวอย่างเป้าหมายทางกาิรเงิน เช่น 

  • ฉันต้องการรวย 

 แน่่นอนหละว่าทุกคนต้องอยากรวย แต่เป้าหมายสั้นเท่านี้จะวางแผนเพื่อปฏิบัติกันลำบากมาก 

อีกทั้งนิยามคำว่ารวยของแต่ละคนต่างกัน บางคนจำนวน 10 ล้านก็รวยแล้ว แต่บางคนก็ต้อง 100  ล้าน

ถ้าจะให้ดีก็ต้องมาขยายความให้ละเอียดกว่านี้ เช่น คำว่ารวยนั้นต้องเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่ 

ระยะเวลาเท่าไหร่ แล้วทำอย่างไรถึงจะบรรลุเป้าหมาย 

  • ฉันต้องการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเพื่อเก็บเงินเป็นทุนการศึกษาบุตรจำนวน 4  แสนบาท         ในอีก 10 ปีข้างหน้า 

สามารถอธิบายตามหลัก SMART ได้ว่า 

S คือ ต้องการเก็บเงินเป็นทุนการศึกษาบุตร

M คือ จำนวนเงิน 4 แสนบาท

A คือ ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล

R คือ ต้องไปดูว่าพันธรัฐบาลที่ลงทุนนั้นให้ผลตอบแทนได้ตรงตามเป้าหมายรึไม่ 
         หรือค่าการศึกษาบุตรมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ในอีก 10 ปีข้างหน้า

T คือ ระยะเวลาที่แน่นอนคือ 10 ปีข้างหน้า

          
"SMART ของคุณคืออะไรค่ะ"

บทความน่าสนใจ


ต้นทุนชีวิต - มีมูลค่าเท่าไหร่
==> http://pajareep.blogspot.com/2013/05/blog-post.html


ทิศทางการตลาดเพื่อดูแนวโน้มหุ้นแห่งอนาคต

การพนัน คือ การวางเดิมพันอนาคต
==> http://pajareep.blogspot.com/2012/11/blog-post_12.html

แบบทดสอบความรวย 
http://pajareep.blogspot.com/2012/09/blog-post_14.html

วิธีปลูกต้นไม้การลงทุนตั้งแต่เด็กทำอย่างไร
http://pajareep.blogspot.com/2012/08/blog-post.html




วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

แหล่งเก็บเงินออม

              จากหัวข้อที่ผ่านมา เรื่องออมเงินไปเพื่ออะไร นั้นกล่าวแต่ว่าใช้เพื่อตอนหลังเกษียณ

แต่ในความเป็นจริงแล้วมีหลายเหตุผลที่เราต้องออมเงิน เช่น


  • ออมเงินเพื่อซื้อรถ
  • ออม เงินเพื่อซื้อบ้าน
  • ออม เงินเพื่อการศึกษาบุตร
  • ออม เงินเพื่อแต่งงาน
  • ออมเงินเพื่อลงทุนในธุรกิจส่วนตัว
  • ออม เงินเพื่อบริจาคให้การกุศล
  • ออม เงินเพื่อการท่องเที่ยว
  • ออมเงินเพื่อเป็นมรดก            ฯลฯ


               การออมเงินเพื่อให้บรรลุในแต่ละเป้าหมายนั้นก็มีระยะเวลาที่ต้องใช้เงินแตกต่างกัน

ซึ่งมีทั้งเป้าหมายระยะสั้นคือ ภายใน 3 ปี ระยะกลางคือภายใน 5 ปี และระยะยาวมากกว่า 7 ปี

แต่จะทำอย่างไรหละที่จะทำให้เงินออมนั้นไปถึงเป้าหมายตามระยะเวลาและจำนวนเงินที่ตั้งเป้าไว้

การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ....คือ คำตอบค่ะ

ทั้งนี้ การลงทุนนั้นจะต้องดูที่ผลตอบแทนและระดับความเสี่ยง

ซึ่งเรียงลำดับผลตอบแทนและความเสี่ยงต่ำ ไปผลตอบแทนและความเสี่ยงสูง ดังนี้ค่ะ

  1. ตราสารภาครัฐ
  2. เงินฝาก
  3. หุ้นกู้
  4. หุ้นบุริมสิทธิ์
  5. หุ้นกู้แปลงสภาพ
  6. กองทุนรวม
  7. หุ้นสามัญ
  8. อสังหาริมทรัพย์
  9. ออปชั่น
  10. ฟิวเจอร์
การลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทก็ขึ้นอยู่กับผู้ลงทุนว่าต้องการได้รับผลตอบแทนแบบใด

เงินฝาก

มีสภาพคล่องสูง ความเสี่ี่ยงต่ำ ดอกเบี้ยถูก ซึ่งต้องคงไว้เพื่อไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และกันไว้เป็นเงินสำรองฉุกเฉิน

ประเภทตราสารหนี้

ในยุคดอกเบี้ยถูก นักลงทุนจะไม่ค่อยฝากเงินเพราะดอกเบี้ยจะถูกมาก ภาวะแบบนี้บริษัทเอกชนหลายแห่งจะออกหุ้นกู้ออกมาเยอะเพื่อเป็นแหล่งระดมทุนไปใช้ขยายกิจการ นักลงทุนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอก็สามารถเลือกลงทุนในตราสารหนี้ได้ ทั้งนี้ความเสี่ยงขึ้นอยู่กับเครดิตของผู้ออก 

ประเภทตราสารทุน

สินทรัพย์นี้จะเติบโตมากช่วงเศรษฐกิจอยู่ในภาวะฟื้นตัวและเริ่มดีขึ้น ซึ่งหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ์ ก็จะมีสภาพคล่องค่อนข้างสูง ให้ผลตอบแทนสูงและมีความเสีี่ยงสูงด้วยเช่นกัน เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการให้เงินลงทุนเติบโต

ประเภทตราสารอนุพันธ์

สินทรัพย์ประเภทนี้จะมีไว้ป้องกันความเสี่ยง(แต่ภาวะปัจจุบันค่อนข้างใช้เก็งกำไร) ฟิวเจอร์ ออปชั่น มีผลตอบแทนสูงและความเสี่ยงสูงมากเหมาะแก่นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูงมาก            



หลักการเลือกประเภทของการลงทุนขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการลงทุน

ถ้าเป้าหมายระยะสั้นก็จะต้องลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด

เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนเกรด A เป็นต้น เพราะได้เงินต้นและผลตอบแทนที่แน่นอน สม่ำเสมอ

ส่วนเป้าหมายในระยะกลางและยาวนั้นก็ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงปานกลางและสูงขึ้น


การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เช่น ของสะสม ภาพวาด เครื่องประดับเพชร ทอง พระเครื่อง

ธนบัตรต่างประเทศในเงินสกุลหลักของโลก เช่น เงินดอลลาร์ เงินเยน เงินฟรังค์สวิส เป็นต้น


"ห้ามใจร้อนที่จะลงทุนโดยไม่ีศึกษาหรือมีความรู้ก่อนการลงทุน

 มิฉะนั้นแล้วเงินออมที่เก็บมานั้นอาจจะสูญหายในพริบตา" 


                   ดังนั้น เราควรต้องศึกษาความรู้เรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่างๆก่อนการลงทุน

เพราะผลิตภัณฑ์ทางการเงินในแต่ละรูปแบบก็เปรียบเสมือนดินที่จะปลูกเงินออมของเราให้งอกเงย

เหมือนกับการปลูกข้าวต้องปลูกที่ดินเหนียวถึงจะเติบโต ได้เมล็ดข้าวที่สมบูรณ์ น่ารับประทาน

แต่ถ้าเรานำข้าวไปปลูกในดินทรายก็มีแต่เปลืองเมล็ดพันธุ์และเสียเวลา 


เราเริ่มศึกษาได้จากเว็ปต่างๆเพราะมีความรู้ให้เราเข้าไปศึกษา "ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้น"

แต่สำหรับท่านที่ยังไม่รู้จะเริ่มที่ไหน ขออนุญาตแนะนำเว็ปนี้ค่ะ




เป็นเว็ปของตลาดหลักทรัพย์ที่ให้ความรู้เรื่องการลงทุน สมัครเป็นสมาชิกฟรีค่ะ 

ลักษณะการให้ความรู้เป็น E-Learning ที่สามารถโหลดดูได้ทางอินเตอร์เน็ต 

หลักสูตรที่ให้ความรู้การลงทุนเบื้องต้นอธิบายเป็น Animation ด้วยการ์ตูนน่ารักๆ

พอดูจบแล้วก็จะมีแบบทดสอบความรู้เบื้องต้นว่าเรามีความเข้าใจกับเรื่องนั้นๆอย่างไรบ้าง

การอธิบายด้วยการ์ตูนนั้นจะทำให้บทเรียนยากๆมันง่ายขึ้นมาก แถมไม่น่าเบื่ออีกด้วยค่ะ

ลองเข้าไปดูนะค่ะ ก็จะรู้ว่าเราจะให้เงินไปทำงานในการลงทุนแบบไหนได้บ้าง


"เสียเวลาลับขวานให้คม แล้วเราจะใช้แรงน้อยลงในการตัดไม้"   ^_^ //